เอเอฟพี - หนังสือพิมพ์วอลล์สตรีทเจอร์นัลอ้างคำเตือนจากผู้เชี่ยวชาญนิวเคลียร์ในจีนที่เชื่อว่าเกาหลีเหนือมีหัวรบนิวเคลียร์ในครอบครองแล้วถึง 20 ลูก และมีศักยภาพในการเสริมสมรรถนะยูเรเนียมสูงพอที่จะเพิ่มจำนวนหัวรบเป็น 2 เท่าภายในปีหน้า
ในรายงานของวอลล์สตรีทฉบับวันนี้ (23 เม.ย.) เจ้าหน้าที่ปักกิ่งได้ประเมินความคืบหน้าของโครงการนิวเคลียร์เกาหลีเหนือ และแจ้งให้ผู้เชี่ยวชาญสหรัฐฯ ทราบระหว่างการประชุมแบบปิดเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ โดยตัวเลขที่จีนประเมินนั้นสูงยิ่งกว่าทุกครั้ง และเกินกว่าที่สหรัฐฯ คาดไว้ว่าอาวุธนิวเคลียร์โสมแดงน่าจะยังมีไม่เกิน 10-16 ลูก
ซีกฟรีด เฮกเกอร์ ซึ่งติดตามความคืบหน้าด้านนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนืออย่างใกล้ชิด และได้เข้าร่วมประชุมเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ด้วย ระบุว่า หากเปียงยางผลิตอาวุธนิวเคลียร์ได้มากขึ้น นานาชาติก็จะยิ่งเจอศึกหนักในการโน้มน้าวให้ผู้นำโสมแดงยอมลดอาวุธ
“ยิ่งเกาหลีเหนือเชื่อมั่นในอาวุธและระบบป้องกันนิวเคลียร์ของตนเองมากเท่าใด การจะทิ้งสิ่งเหล่านั้นก็ยิ่งทำได้ยาก” เฮกเกอร์ ให้สัมภาษณ์กับวอลล์สตรีท
ผลประเมินนี้ยังแสดงให้เห็นว่า ความทะเยอทะยานอยากเป็นมหาอำนาจนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือสร้างความวิตกกังวลต่อปักกิ่งไม่น้อย และยังเตือนให้ทุกฝ่ายตระหนักว่าเทคโนโลยีของโสมแดงอาจรุดหน้าไปเร็วกว่าที่พวกเขาคาดคิด
เมื่อไม่นานนี้ นักวิจัยจากสถาบันสหรัฐฯ-เกาหลี มหาวิทยาลัยจอห์นฮอปกินส์ เตือนว่าเกาหลีเหนือมีแผนที่จะขยายคลังอาวุธนิวเคลียร์ภายใน 5 ปี และในสถานการณ์ขั้นเลวร้าย (worst-case scenario) อาจจะผลิตอาวุธนิวเคลียร์ได้ถึง “100 ลูก” ภายในปี 2020
เกาหลีเหนือเคยทดสอบนิวเคลียร์มาแล้ว 3 ครั้งในปี 2006, 2009 และ 2013 และยังคงมุ่งมั่นพัฒนาระบบขีปนาวุธอย่างต่อเนื่อง แม้ผู้เชี่ยวชาญจะยังสรุปตรงกันไม่ได้ว่าเทคโนโลยีนิวเคลียร์โสมแดงรุดหน้าไปถึงขั้นไหน
เมื่อปี 2012 เปียงยางได้แสดงให้โลกเห็นว่าพวกเขามีศักยภาพพอที่จะส่งดาวเทียมขึ้นสู่วงโคจร แต่ยังต้องรอดูกันว่าโสมแดงจะก้าวไปถึงขั้นผลิตจรวดที่กลับเข้าสู่ชั้นบรรยากาศโลก (re-entry) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่จำเป็นสำหรับขีปนาวุธพิสัยไกลข้ามทวีป (ICBM) ได้หรือไม่ และอีกคำถามที่สำคัญก็คือ พวกเขาสามารถย่อส่วนระเบิดนิวเคลียร์เพื่อติดตั้งบนปลายหัวรบได้แล้วหรือยัง
สมุดปกขาวซึ่งออกโดยกระทรวงกลาโหมเกาหลีใต้เมื่อเดือนมกราคม ชี้ว่า “ระดับความสามารถของเกาหลีเหนือในการย่อส่วนอาวุธนิวเคลียร์ดูเหมือนจะก้าวหน้าไปมาก”