เอเอฟพี - นายกรัฐมนตรี ดมิตรี เมดเวเดฟ ของรัสเซีย กล่าวในวันนี้ (21 เม.ย.) ว่า เศรษฐกิจรัสเซียมีแนวโน้มหดตัวลง 2 เปอร์เซ็นต์ในไตรมาสแรกของปีนี้เนื่องจากแรงกดดันของมาตรการคว่ำบาตรและราคาน้ำมันที่ต่ำ
ถ้าข้อมูลดังกล่าวได้รับการยืนยัน มันจะเป็นการหดตัวลงประจำไตรมาสครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2009 และเมดเวเดฟ ได้เตือนบรรดาสมาชิกสภานิติบัญญัติว่าสถานการณ์ดังกล่าวอาจเลวร้ายลงมากกว่าทรงตัว ขัดแย้งกับที่ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน กล่าวไว้เมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่าช่วงเลวร้ายที่สุดของวิกฤติเศรษฐกิจครั้งนี้ได้ผ่านพ้นไปแล้ว
“แนวโน้มเชิงลบยังดำเนินอยู่ต่อไปในปีนี้” ภายหลังวิกฤตค่าเงินรูเบิลในช่วงปลายปี 2014 เมดเวเดฟกล่าว ขณะนำเสนอรายงานของรัฐบาลต่อรัฐสภา
“ระหว่างเดือนมกราคม-มีนาคม จีดีพีตกลงประมาณ 2 เปอร์เซ็นต์”
เมื่อปีที่แล้ว ค่าเงินรูเบิลของรัสเซียพังทลายลง ส่งให้อัตราเงินเฟ้อพุ่งขึ้นเป็นตัวเลข 2 หลัก ธนาคารกลางคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจอาจหดตัวลงถึง 4 เปอร์เซ็นต์ในปี 2015 หากราคาน้ำมันยังอยู่ที่ราว 50 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
เมดเวเดฟระบุว่า วิกฤตดังกล่าวเป็นผลมาจากมาตรการคว่ำบาตรของตะวันตกที่บังคับใช้จากกรณีการควบรวบไครเมียของรัสเซีย
เมื่อเดือนมีนาคมปีที่แล้ว รัสเซียได้ควบรวมแคว้นแถบทะเลดำแห่งนี้ของยูเครนอย่างเป็นทางการ ภายหลังส่งกองทหารหน่วยพิเศษไปที่นั่น และตรวจสอบการทำประชามติที่ให้การสนับสนุนมอสโค
การตัดสินใจที่จะควบรวมไครเมียเป็น “โอกาสที่มีแค่ครั้งเดียว และเราทุกคนล้วนสนับสนุนมัน และทราบถึงผลลัพธ์ที่อาจตามมา” เมดเวเดฟ กล่าว
เขากล่าวว่า “ในแง่ของความรุนแรง มาตรการคว่ำบาตรระลอกล่าสุดอาจเป็นรอบที่รุนแรงที่สุด” ที่ตะวักตกเคยบังคับใช้ต่อมอสโคในทั้งช่วงสมัยโซเวียตและหลังสมัยโซเวียต
“เราไม่ควรมีมายาคติใดๆ นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่เหตุการณ์วิกฤตช่วงระยะสั้นๆ” เขากล่าว
“หากการคว่ำบาตรรุนแรงขึ้นและราคาน้ำมันยังคงอยู่ในระดับต่ำถึงขีดสุด เราจะถูกบีบให้ต้องทำงานในสภาพความเป็นจริงทางเศรษฐกิจที่ต่างออกไป”