รอยเตอร์/เอพี - ราคาน้ำมันพุ่งกว่า 2 ดอลลาร์เมื่อวันพฤหัสบดี (26 มี.ค.) นับเป็นการขยับขึ้นวันเดียวมากที่สุดในรอบเดือน จากความกังวลว่าสถานการณ์ในเยเมนจะลุกลามบายปลายไปทั่วตะวันออกกลางซึ่งอาจกระทบต่ออุปทานโลก เหตุการณ์นี้ผลักให้นักลงทุนเทขายหุ้น ฉุดให้วอลล์สตรีทร่วงหนักและหันไปถือครองสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำอย่างทองคำแทน
น้ำมันดิบเวสต์เทกซัสอินเตอร์มีเดียต หรือไลต์สวีตครูด เพิ่มขึ้น 2.22 ดอลลาร์ ปิดที่ 51.43 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนเบรนท์ทะเลเหนือลอนดอน เพิ่มขึ้น 2.71 ดอลลาร์ ปิดที่ 59.19 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ซาอุดีอาระเบีย ชาติผู้ผลิตน้ำมั้นยักษ์ใหญ่ เริ่มปฏิบัติการโจมตีทางอากาศต่อกบฏฮูตี เพื่อช่วยเหลือพันธมิตรอย่างประธานาธิบดีอาเบด-แรบโบ มานซูร์ ฮาดีของเยเมนตั้งแต่ในวันพุธ (25 มี.ค.) และแม้มันไม่กระทบต่อโครงกลั่นน้ำมัน แต่มีความกังวลว่าความขัดแย้งนี้อาจลุกลามบานปลายและก่อปัญหาเกี่ยวกับการขนส่งน้ำมันในตะวันออกกลาง
ความกังวลต่อสถานการณ์ดังกล่าว กระตุ้นให้นักลงทุนแห่ถือครองสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ และดันให้ราคาทองคำในวันพฤหัสบดี (26 มี.ค.) ปิดบวกพอสมควร โดยทองคำตลาดโคเม็กซ์ เพิ่มขึ้น 7.80 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,204.80 ต่อออนซ์
ด้านตลาดหุ้นสหรัฐฯ วานนี้ (26 มี.ค.) ขยับลงเป็นวันที่ 4 ติดต่อกัน จากความวิตกต่อวิกฤตในเยเมนและดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้นเมื่อเร็วๆนี้
ดาวโจนส์ ลดลง 40.31 จุด (0.23 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 17,678.23 จุด เอสแอนด์พี ลดลง 4.90 จุด (0.24 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 2,056.15 จุด แนสแดค ลดลง 13.16 จุด (0.27 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 4,863.36 จุด
ความเคลื่อนไหวในวันพฤหัสบดี (26 มี.ค.) ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในหุ้นกลุ่มพลังงาน โดยนักลงทุนจับตาสถานการณ์ความรุนแรงในเยเมนอย่างใกล้ชิด ขณะเดียวกัน ดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ เป็นเหตุให้หลายบริษัทในวอลล์สตรีทปรับลดประมาณการณ์ผลประกอบการปีนี้ลง