(เก็บความจากเอเชียไทมส์ออนไลน์ www.atimes.com)
The West's criminal culpability in Syria
By Peter Lee
13/03/2015
ความโหดเหี้ยมสยดสยองที่เกิดขึ้นในซีเรียทุกวันนี้ เป็นสิ่งที่เกินกว่าจะบรรยายออกมาให้ครบถ้วนได้ แต่กระนั้นเรายังสามารถที่จะมองเห็นภาพรวมของมันได้ ด้วยการเริ่มต้นจากตัวเลข 2-3 จำนวน กล่าวคือ “7,000” –นี่คือตัวเลขประมาณการผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ไม่สงบหลังจากที่รัฐบาลอัสซาด บดขยี้ปราบปรามกระแสการลุกฮือภายในประเทศในปี 2012 ส่วนคือตัวเลขอีกจำนวนหนึ่ง คือ “193,000” ซึ่งเป็นตัวเลขผู้เสียชีวิตนับตั้งแต่ที่สหรัฐฯและเพื่อนพ้องผู้สามารถของเขา เริ่มต้นอัดฉีดทรัพยากรต่างๆ เข้าไปให้แก่กลุ่มติดอาวุธกึ่งทหารหลายหลากกลุ่มในประเทศนั้น
หนังสือพิมพ์ เดอะการ์เดียน (The Guardian) ของอังกฤษเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ได้รำลึกวาระครบรอบปีที่ 4 ของสงครามความขัดแย้งในซีเรีย ด้วยการเสนอตัวเลขอันปลุกให้เกิดความตื่นตระหนกตามแบบฉบับที่หนังสือพิมพ์ฉบับนี้นิยมกระทำเสมอมา โดยในคราวนี้ระบุว่าสงครามในประเทศตะวันออกกลางแห่งนี้ ได้ทำให้มี “คนตาย 200,000 คน คนอพยพลี้ภัย 3.5 ล้านคน” แล้ว
อันที่จริงเดอะการ์เดียนยังควรที่จะรำลึกวาระครบรอบ 3 ปีครึ่งของการนองเลือด, การทำลายล้าง, และความทุกข์ยากเดือดร้อน ซึ่งก่อขึ้นกับซีเรียโดยฝีมือของสหรัฐฯ, สหภาพยุโรป(อียู), และคณะมนตรีความร่วมมือรัฐอ่าวอาหรับ (Gulf Cooperation Council ใช้อักษรย่อว่า GCC) โดยที่ตามความเห็นของผมแล้ว ชาติเหล่านี้ก่อการฆาตกรรม, ความผิดฐานอาชญากรรมสงคราม, ตลอดจนการร่วมกันเล่นงานลงโทษอย่างร้ายกาจต่างๆ เช่นนี้ ส่วนใหญ่ทีเดียวได้รับการรับรองเห็นชอบอย่างกระตือรือร้นจากเดอะการ์เดียน และประดาพี่ๆ น้องๆ สื่อมวลชนของเขานั่นเอง
คิดว่าผมกำลังพูดเกินความเป็นจริงหรือครับ? แต่ก่อนอื่นเลยผมขอให้อ่านข้อเขียนชิ้นที่ผมเขียนเอาไว้ในเดือนพฤศจิกายน 20011 (http://chinamatters.blogspot.com/2011/11/syrian-revolution-hijacked.html ซึ่งผมได้ปรับปรุงนำเอามาโพสต์ใหม่อีกครั้งข้างล่างนี้แล้ว) อันเป็นช่วงเวลาซึ่งมีความกระจ่างชัดเจนแล้วว่า การลุกฮือภายในประเทศซีเรียกำลังบ่ายหน้าไปสู่ความพ่ายแพ้ปราชัย และโลกตะวันตกกับคณะมนตรีความร่วมมือรัฐอ่าวอาหรับต้องเผชิญกับทางเลือกอันสำคัญยิ่งยวด 2 ทาง ทางหนึ่งคือ การยินยอมปล่อยให้ (คณะรัฐบาลของประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-) อัสซาด ดำเนินการปะผุซ่อมแซมกระบวนการปรองดองในซีเรียบางอย่างบางประการเพื่อให้เดินหน้าไปได้ ...ส่วนอีกทางหนึ่งคือ การพยายามหาทางโค่นเขาลงมาให้ได้ต่อไปอีก โดยคราวนี้เป็นการใช้วิธีการก่อกบฏด้วยกำลังรุนแรง ซึ่งมีต่างชาติให้ความสนับสนุน
พวกเราทั้งหลายต่างทราบ –หรือควรที่จะทราบกันเป็นอย่างดีแล้วว่า –ได้มีการเลือกเดินไปในหนทางไหน
และพวกเราควรที่จะทราบ –แต่บางทีก็อาจจะยังไมทราบ— ถึงราคาค่าใช้จ่ายจริงๆ ที่เกิดขึ้นมา
ขอให้ลองพิจารณาเปรียบเทียบตัวเลข 2 จำนวนนี้ดูนะครับ: 7,000 ... กับ 193,000
7,000 คือตัวเลขประมาณการผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ความไม่สงบในซีเรีย หลังจากที่รัฐบาลซีเรียได้บดขยี้ปราบปรามที่มั่นสำคัญของฝ่ายกบฎในเมืองฮอมส์ (Homs) เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2012 และทำลายการลุกฮือภายในประเทศให้แหลกเป็นเสี่ยงๆ
193,000 คือตัวเลขจำนวนผู้เสียชีวิตนับตั้งแต่นั้น ... นับตั้งแต่ที่สหรัฐฯ, คณะมนตรีความร่วมมือรัฐอ่าวอาหรับ, ตุรกี, และเพื่อนพ้องผู้สามารถของพวกเขา เริ่มต้นอัดฉีดเงินทอง, อาวุธยุทโธปกรณ์, และการสนับสนุนทางการทูต เข้าไปให้แก่กลุ่มติดอาวุธกึ่งทหารหลายหลากกลุ่มที่ตั้งฐานอยู่ในซีเรีย ซึ่งในที่สุดแล้วได้ถูกเขย่าให้รวมกันไม่แต่เพียงกลายเป็น “กองทัพชาวซีเรียเสรี” (Free Syrian Army) ที่อาภัพอับโชคเท่านั้น หากแต่ยังกลายเป็น อัลกออิดะห์, กลุ่มรัฐอิสลาม (ไอเอส), ตลอดจนเครือข่ายและแวดวงพันธมิตรของกลุ่มเหล่านี้อีกด้วย
หลังจากคุณอ่านข้อเขียนของผมชิ้นที่อยู่ข้างล่างนี้แล้ว คุณย่อมจะมองเห็นได้ว่าตัวละครเลวๆ บางตัวกำลังหวนกลับมาปรากฏตัวอีกคำรบหนึ่ง เป็นต้นว่า วิกตอเรีย นูแลนด์ (Victoria Nuland) ซึ่งเป็นผู้รับหน้าที่ในการกระตุ้นยั่วยุให้ฝ่ายค้านซีเรียในตอนนั้นเพิกเฉยไม่เอาการปรองดอง, เป็นต้นว่า อับเดลฮาคิม เบลฮัดจ์ (Abdelhakim Belhadj) ผู้ซึ่งในเส้นทางแห่งการเดินทัพทางไกลของเขาจากการเป็นพวกอิสลามิสต์ผู้ต่อต้านกัดดาฟี กลายมาเป็นผู้นำที่มีชื่อเสียงของกลุ่มไอเอส ลิเบีย (IS Libya) เวลานี้กำลังปรากฏตัวขึ้นในตุรกีเพื่อทำหน้าที่สงเคราะห์ช่วยเหลือชาวซีเรียฝ่ายค้าน
มีผู้คนต้องล้มตายไปมากมายเหลือเกิน ...มีการฆาตกรรมเกิดขึ้นมากมายเหลือเกิน ... ในระยะเวลา 3 ปีครึ่งนี้
7,000 ต่อ 193,000 ทีเดียว
อย่างที่ผมระบุเอาไว้ในทวิตเตอร์ของผมนั่นแหละครับ ผมล่ะสงสัยจริงๆ ว่าในกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯจะได้เคยมีการฉุกคิดทบทวนกันบ้างหรือเปล่า เกี่ยวกับการปฏิเสธทอดทิ้งเส้นทางสู่การปรองดองในซีเรีย
ผมสงสัยจริงๆ ว่าคงจะไม่มี ระบบการกำหนดนโยบายการต่างประเทศของสหรัฐฯนั้น มุ่งที่จะรับมือจัดการกับผลต่อเนื่องที่ตามมา ไม่ใช่เน้นมองไปที่ต้นเหตุ เมื่อทำอย่างนี้แล้ว พวกเขาย่อมสามารถที่จะตัดลดความรับผิดชอบในเวลาที่นโยบายดังกล่าวประสบความล้มเหลว แต่กลับสามารถอวดอ้างได้อย่างหน้าชื่นตาบานเมื่อมีชัยชนะพบกับความสำเร็จ
แต่ขอได้โปรดจดจำตัวเลขเหล่านี้เอาไว้นะครับ: 7,000 เปรียบเทียบกับ 193,000
ยังมีตัวเลขอีกจำนวนหนึ่งซึ่งสมควรแก่การจดจำ: 5,400
นี่คือตัวเลขกึ่งทางการของจำนวนผู้ที่เสียชีวิตไปในสงครามความขัดแย้งที่ยูเครน (ดูรายละเอียดได้ที่ http://www.bbc.com/news/world-europe-31392473) ถึงแม้การประมาณการอย่างไม่เป็นทางการของหลายๆ สำนักต่างให้ตัวเลขซึ่งสูงกว่านี้มาก
นี่คือตัวเลขในขณะนี้
ผมกำลังหวังว่าในเวลาอีก 3 ปีครึ่งข้างหน้า เราจะไม่ต้องเห็นการกระทำอันโง่เขลาที่ทำให้เกิดการนองเลือดมีผู้เสียชีวิตไปอย่างมโหฬาร บังเกิดขึ้นมาอีกที่ยูเครน
สำหรับข้อเขียนที่ผมเคยโพสต์เอาไว้ในเดือนพฤศจิกายน 2011 ซึ่งผมนำมาปรับปรุงใหม่ มีเนื้อหาดังต่อไปนี้ครับ:
วันอังคารที่ 29 พฤศจิกายน 2011
การปฏิวัติซีเรียถูกคนแย่งชิงเอาไปเป็นตัวประกันเสียแล้ว (The Syrian Revolution Hijacked)
การปฏิวัติซีเรีย –ที่เป็นขบวนการระดับชาติซึ่งมีฐานอันใหญ่โตกว้างขวาง, ไม่แบ่งแยกกีดกันนิกายศาสนา, เป็นประชาธิปไตย, และต่อต้านเผด็จการ— ได้ล้มเหลวลงแล้ว
การเรียกร้องให้มวลชนจำนวนมหาศาลออกมาชุมนุมเดินขบวนในกรุงดามัสกัส และเมืองอะเลปโป (Aleppo) ไม่ได้ปรากฏเป็นความจริงขึ้นมา กองทัพและกองกำลังความมั่นคงไม่ได้เกิดการแตกแยกร้าวฉาน การที่ชาวอลาวิต (Alawite ถือเป็นนิกายชีอะห์สาขาหนึ่ง ชาวอลาวิตเป็นแกนกำลังหลักทั้งของกองทัพ/กองกำลังความมั่นคง/แก๊งอันธพาลในซีเรีย) ดำเนินการปราบปรามบดขยี้ชาวสุหนี่ เป็นสิ่งที่บ่มเพาะให้เกิดการแตกแยกทางนิกายศาสนาก็จริงอยู่ ทว่าชนกลุ่มน้อยที่มิใช่สุหนี่ส่วนใหญ่แล้วยังคงมีความศรัทธาภักดีอย่างเต็มที่ต่อระบอบปกครองอัสซาด ขณะที่พวกชาวสุหนี่ผู้มั่งคั่งร่ำรวยซึ่งถูกสันนิษฐานว่ากำลังหันมาใช้วิธีจับปลาสองมือ ด้วยการบริจาคเงินให้แก่ขบวนการต่อต้านรัฐบาลด้วยในระยะหลังๆ มานี้ ทว่าแท้จริงแล้วพวกเขาก็ยังไม่ถึงขั้นตัดสินใจที่จะทอดทิ้งระบอบปกครองอัสซาดอย่างเปิดเผยเต็มตัว
พวกมหาอำนาจในอ่าวอาหรับและฝ่ายตะวันตก ต่างปรารถนาเหลือเกินที่จะได้เห็นการล่มสลายของระบอบปกครองพรรคบาธ (Baath) ในอีกประเทศหนึ่ง ด้วยน้ำมือของการชุมนุมเดินขบวนต่อต้านรัฐบาลของผู้คนภายในชาตินั้นเอง
ทว่า สิ่งนั้นไม่ได้บังเกิดขึ้นขึ้นมาในซีเรีย
ในขณะที่ขบวนการต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตยซีเรียอยู่ในอาการโซเซง่อนแง่นเต็มทีแล้วเช่นนี้ ยังคงไม่มีความเคลื่อนไหวจากฝ่ายตะวันตก/มหาอำนาจอ่าวอาหรับ ที่จะกระตุ้นสนับสนุนให้มีการดำเนินการปรองดอง เพื่อผลักดันให้เกิดการปฏิรูปขึ้นมา
ในความเป็นจริงแล้ว มันกลับเป็นตรงกันข้าม
เมื่อใดก็ตามที่อัสซาดยื่นข้อเสนอว่าพร้อมดำเนินการปฏิรูป เหล่ามหาอำนาจฝ่ายตะวันตกก็จะบอกปัดโดยประทับตราว่า สายเกินไปแล้ว และ/หรือ ไม่มีความจริงใจ
วิกตอเรีย นูแลนด์ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ให้คำแนะนำแก่พวกชาวซีเรียที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลว่า ต้องปฏิเสธและท้าทายข้อเสนอของระบอบปกครองอัสซาด ที่จะประกาศนิรโทษกรรมพวกเขา แลกเปลี่ยนกับการที่ฝ่ายค้านยอมส่งมอบอาวุธผิดกฎหมายทั้งหลายซึ่งครอบครองอยู่ ดังที่หนังสือพิมพ์ลอสแองเจเลิสไทมส์ รายงานเอาไว้ (ดูรายละเอียดรายงานข่าวนี้ได้ที่ http://mobile.latimes.com/p.p?a=rp&m=b&postId=1124829&curAbsIndex=1&resultsUrl=DID%3D6%26DFCL%3D1000%26DSB%3Drank%2523desc%26DBFQ%3DuserId%253A7%26DL.w%3D%26DL.d%3D10%26DQ%3DsectionId%253A6898%26DPS%3D0%26DPL%3D3) ดังนี้:
ซีเรียกล่าวหาวอชิงตันว่า “กำลังกระตุ้นยั่วยุให้เกิดการขัดขืนอำนาจปกครอง, สนับสนุนพฤติการณ์เข่นฆ่าสังหารและการก่อการร้าย” สำนักข่าวของทางการซีเรียรายงาน โดยอ้างแหล่งข่าวที่เป็นเจ้าหน้าที่ผู้หนึ่งในกระทรวงการต่างประเทศของซีเรีย
...
ความเห็นเช่นนี้บังเกิดขึ้น 1 วันภายหลังที่โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ วิกตอเรีย นูแลนด์ ประกาศว่า เธอจะแนะนำชาวซีเรียให้ปฏิเสธข้อเสนอนิรโทษกรรม ซึ่งตามเงื่อนไขที่ฝ่ายรัฐบาลกำหนดเอาไว้นั้น เรียกร้องให้พวกที่กระทำความผิดเกี่ยวกับอาวุธ ต้องมอบตัวพร้อมด้วยอาวุธที่มีอยู่ “ ณ สถานีตำรวจแห่งที่อยู่ใกล้ที่สุด” ภายในระยะเวลา 1 สัปดาห์นับตั้งแต่วันเสาร์เป็นต้นไป พวกที่ยอมมอบตัวและไม่ได้เคยเข่นฆ่าผู้ใด กระทรวงมหาดไทยซีเรียระบุว่า “จะได้รับการปล่อยตัวในไม่ช้า”
“ดิฉันจะไม่แนะนำให้ใครทั้งสิ้น ยอมมอบตัวต่อพวกเจ้าหน้าที่รับผิดชอบของระบอบปกครองในขณะนี้หรอก” นูแลนด์ บอกกับผู้สื่อข่าวในกรุงวอชิงตัน
น่าสังเกตว่า นูแลนด์ แต่งงานเป็นภรรยาของ โรเบิร์ต คาแกน (Robert Kagan) ผู้ร่วมก่อตั้งสำนักศึกษาวิจัย “โครงการเพื่อศตวรรษอเมริกันใหม่” (Project for the New American Century ใช้อักษรย่อว่า PNAC) ที่มีแนวความคิดแบบอนุรักษนิยมใหม่ (Neoconservative) อีกทั้งเป็นนักคิดคนสำคัญของฝ่ายนีโอคอนด้วย
เมื่อหวนย้อนระลึกถึงความกระดี๊กระด๊าของ (รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ) ดิ๊ก เชนีย์ (Dick Cheney) ที่พยายามผลักดันให้ตามเล่นงานดามัสกัสต่อไปด้วย ในช่วงหลังจากสหรัฐฯเปิด “ยุทธการเสรีภาพของชาวอิรัก” (Operation Iraqi Freedom) ยกกำลังทหารเข้ารุกรานและยึดครองอิรักในปี 2003 แล้ว บางทีเราอาจจะต้องขนานนามความพยายามที่จะเข้าไปเสี่ยงภัยครั้งใหม่ในซีเรียนี้ โดยเลียนแบบชื่อภาพยนตร์ฮอลลีวู้ด ว่า “Clean Break II: The Do-Over” กระมัง
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะคิดพลิกแพลงไปทางไหน ความเป็นจริงที่ต้องสรุปออกมาก็คือ ความพยายามในแนวทางประชาธิปไตยใช้ไม่ได้ผลในซีเรียเสียแล้ว ดังนั้นจึงถึงเวลาสำหรับการงัดเอา “แผน บี” มาใช้
เหล่ามหาอำนาจต่างชาติซึ่งมุ่งมั่นที่จะเห็นระบอบปกครองอัสซาดล้มครืน –และทำให้อิหร่านสูญเสียพันธมิตรในภูมิภาครายหนึ่งไปด้วย— ได้ตัดสินใจแล้วที่จะนำเอาวิธีก่อกบฏยึดอำนาจด้วยความรุนแรงโดยมีต่างชาติคอยหนุนหลัง มาขี่บนหลังของขบวนการต่อต้านรัฐบาลที่กำลังสั่นคลอนโงนเงน
หรือถ้าจะพูดกันให้ถูกต้องแม่นยำยิ่งขึ้นก็ต้องบอกว่า การปฏิวัติประชาธิปไตยในเวลานี้ได้กลายเป็นเพียงผู้โดยสารที่ไม่มั่นใจและไม่เต็มใจ แต่ถูกนำเอามานั่งอยู่บนกลไกทางทหาร ซึ่งได้เงินทุนหนุนหลังจากรัฐอ่าวอาหรับ และกำลังพยายามเดินเครื่องคำรามมุ่งหน้าสู่กรุงดามัสกัส
สถานที่หลบภัยสำหรับพวกนักรบต่อต้านอัสซาดนั้น มีการจัดเตรียมไว้ให้ในตุรกีแล้ว ส่วนอาวุธยุทโธปกรณ์และเงินทองก็กำลังไหลทะลักเข้ามาจากที่ต่างๆ เยอะแยะไปหมด
อันที่จริงแล้ว อาวุธยุทโธปกรณ์และเงินทองที่เตรียมไว้สำหรับพวกต่อต้านอัสซาดที่จะใช้วิธีก่อกบฏด้วยกำลังรุนแรงนั้น ได้ค่อยๆ ไหลเอื่อยสะสมมากขึ้นเรื่อยๆ เป็นเวลาแรมเดือนแล้ว โดยไม่เป็นที่สังเกตสังกาพบเห็นของพวกสื่อมวลชนตะวันตก ซึ่งมุ่งมั่นแต่จะเสนอภาพของผู้ชุมนุมเดินขบวนเรียกร้องประชาธิปไตยที่กำลังต่อสู้กับการกดขี่ปราบปราม (ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้จากข้อเขียนของผม http://chinamatters.blogspot.com/2011/10/syrian-bloodshed-and-wests-abdication.html)
มาถึงเวลานี้ เมื่อหนทางเลือกในการแก้ปัญหาด้วยวิธีการเมือง กำลังเลื่อนหล่นตกลงไปจากโต๊ะเสียแล้ว และเป็นที่แจ่มแจ้งชัดเจนว่า จำเป็นที่จะต้องหันมาใช้วิธีก่อกบฏด้วยกำลังรุนแรงโดยได้รับเงินทุนสนับสนุนจากต่างชาติ เพื่อโค่นล้มระบอบปกครองอัสซาดลงให้ได้ กองอาวุธยุทโธปกรณ์ตลอดจนเงินทุนเงินทองที่ไหลทะลักกันเข้ามา จึงกำลังมีขนาดใหญ่โตจนเกินกว่าที่จะปกปิดทำเพิกเฉยไม่รู้ไม่ชี้ได้เสียแล้ว
อันที่จริง เรื่องราวเช่นนี้ไม่จำเป็นที่จะต้องพึ่งพาอาศัยการรายงานข่าวผ่านสื่อมวลชนรายหลักๆ แบบเก่าๆ เดิมๆ อีกแล้วด้วยซ้ำไป
สิ่งที่นักข่าวจะต้องทำ ก็เพียงแค่เดินเข้าไปในห้องของพวกผู้แถลงข่าวในกระทรวงการต่างประเทศตุรกี ดื่มน้ำชา รับประทานขนมคุกกี้ และสนทนากับเจ้าหน้าที่ผู้พร้อมบรรยายสรุปภูมิหลังข่าวให้ฟังตามที่เล็งเอาไว้สักคนหนึ่ง
ตุรกีนั้น ขณะนี้กำลังวางตำแหน่งตนเองให้เป็นตัวแทนชนิดที่ไม่อาจขาดหายไปได้ ของฝ่ายตะวันตก/รัฐอ่าวอาหรับ ในอาณาบริเวณพรมแดนด้านเหนือของซีเรีย
ลักษณะของรายงานข่าวเช่นที่กล่าวมานี้ อาจเห็นได้จากรายงานของสำนักข่าวไออาร์เอ็นเอ (IRNA news agency) ของทางการอิหร่าน (ดูรายละเอียดได้ที่ http://www.presstv.ir/detail/212224.html) ซึ่งได้อ้างอิงอีกต่อหนึ่งถึงรายงานชิ้นที่ปรากฏอยู่ในหนังสือพิมพ์ขนาดแทบลอยด์ชื่อ มิลลิเยต (Milliyet) อันเป็นองค์การข่าวขนาดใหญ่รายหนึ่งของตุรกี ผมต้องขอบอกเอาไว้ก่อนว่า บางครั้งไออาร์เอ็นเอก็หยิบเอาข่าวระหว่างประเทศมานำเสนอแบบเลือกสรรเฉพาะบางประเด็น และ/หรือ กระทั่งมีเนื้อหาที่ไม่ถูกต้อง ดังนั้น ผมจึงเอาเรื่องนี้มาเล่าต่อพร้อมกับคำเตือน อย่างไรก็ดี สำหรับผมแล้ว รายงานข่าวของไออาร์เอ็นเอชิ้นนี้ ถือว่าผ่านการทดสอบ ไม่ได้มีกลิ่นอันน่าสงสัยข้องใจอะไร ทั้งนี้ รายละเอียดที่น่าสนใจของข่าวไออาร์เอ็นเอชิ้นนี้มีดังนี้ครับ:
ตามข่าวของ มิลลิเยต ซึ่งอ้างอิงโดยไออาร์เอ็นเอนั้น ระบุว่า ฝรั่งเศสได้จัดส่งหน่วยฝึกสอนทหารของตน เดินทางมาที่ตุรกีและเลบานอนแล้ว เพื่อฝึกอบรมกองกำลังที่เรียกขานกันว่า “กองทัพชาวซีเรียเสรี” (Free Syrian Army) –ซึ่งก็คือกลุ่มของพวกคนทรยศที่ตั้งฐานปฏิบัติการอยู่ในตุรกีและเลบานอน— ในความพยายามที่จะเปิดศึกทำสงครามกับกองทัพของซีเรีย
รายงานชิ้นนี้กล่าวต่อไปว่า พวกเจ้าหน้าที่รับผิดชอบทั้งของฝรั่งเศส, อังกฤษ, และตุรกี ยังได้ “บรรลุข้อตกลงร่วมกันในการจัดส่งอาวุธยุทโธปกรณ์เข้าไปในซีเรีย”
หนังสือพิมพ์รายวันของตุรกีฉบับดังกล่าวบอกว่า ทั้งสองประเทศนี้ได้แจ้งให้สหรัฐฯทราบแล้ว เกี่ยวกับการฝึกสอนและการประกอบอาวุธให้แก่ชาวซีเรียฝ่ายค้านเหล่านี้
ตามรายงานของ มิลลิเยต เวลานี้มีพวกกบฏประกอบอาวุธแล้วกลุ่มหนึ่งกำลังรวมตัวกันอยู่ในจังหวัดฮาตัย (Hatay) ของตุรกี ซึ่งตั้งอยู่ใกล้ๆ พรมแดนติดต่อกับซีเรีย
รายงานนี้ปรากฏออกมา หลังจากมีรายงานข่าวอีกชิ้นหนึ่งก่อนหน้านี้ซึ่งเปิดเผยว่า สำนักงานข่าวกรองของอังกฤษและของฝรั่งเศส ได้มอบหมายภารกิจให้สายลับของพวกตนคอยติดต่อกับชาวซีเรียผู้ไม่พอใจรัฐบาลซึ่งตั้งฐานอยู่ในเมืองตริโปลี (Tripoli) เมืองเล็กๆ ที่อยู่ทางตอนเหนือของเลบานอน เพื่อที่จะได้คอยช่วยเหลือโหมกระพือความไม่สงบในซีเรีย
รายงานข่าวเหล่านี้ระบุด้วยว่า ได้มีการจัดส่งสายลับหน่วยข่าวกรองของฝรั่งเศส ไปยังภาคเหนือของเลบานอนและตุรกี เพื่อก่อตั้งหน่วยทหารของ “กองทัพชาวซีเรียเสรี” หน่วยแรก ขึ้นมา จากประดาทหารหนีทัพซึ่งเดินทางหลบหนีออกจากซีเรีย
สำหรับคุณๆ ซึ่งต้องการได้ข่าวเกี่ยวกับ ตุรกี/ซีเรีย จากแหล่งข่าว “นักรบครูเสด” ที่น่าเชื่อถือสักรายหนึ่งมากกว่า ต่อไปนี้คือรายงานข่าวชิ้นซึ่งคงทำให้ต้องถึงกับขมวดคิ้ว รายงานนี้มีต้นทางคือหนังสือพิมพ์เดลี่ เทเลกราฟ (Daily Telegraph) ของอังกฤษ แต่รายงานผ่านทางหนังสือพิมพ์เฮอร์ริเยต (Hurriyet) ของตุรกีอีกต่อหนึ่ง ในฉบับประจำวันที่ 27 พฤศจิกายน (ดูรายละเอียดได้ที่ http://www.hurriyetdailynews.com/default.aspx?pageid=438&n=new-libya-offers-weapons-to-syrian-dissidents-daily-2011-11-27) ดังนี้:
ชาวซีเรียที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลได้จัดการเจรจาหารือลับเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายนกับพวกเจ้าหน้าที่รับผิดชอบชุดใหม่ของลิเบีย และพวกเจ้าหน้าที่รับผิดชอบของตุรกี ณ นครอิสตันบุล โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะให้มีการจัดส่งอาวุธและเงินทองอย่างมั่นคงปลอดภัย ไปให้แก่การก่อกบฏต่อต้านดามัสกัสของพวกเขา ทั้งนี้ตามรายงานของเดลี่ เทเลกราฟ
ในระหว่างการเจรจาหารือคราวนี้ กลุ่มชาวซีเรียฝ่ายค้านได้ร้องขอ “ความช่วยเหลือ” จากคณะตัวแทนชาวลิเบีย และก็ได้รับข้อเสนอที่จะให้อาวุธยุทโธปกรณ์ รวมทั้งความเป็นไปได้ที่อาจจะมีการจัดหาอาสาสมัครให้ด้วย หนังสือพิมพ์ฉบับนี้รายงานในวันที่ 25 พฤศจิกายน
“กำลังมีการวางแผนบางอย่างที่จะจัดส่งอาวุธ และกระทั่งนักรบชาวลิเบียด้วย ไปยังซีเรีย” แหล่งข่าวชาวลิเบียรายหนึ่งเปิดเผยโดยขอให้สงวนนาม “กำลังจะมีการแทรกแซงด้วยกำลังทหารจากภายนอกขึ้นมาแล้ว คุณคอยดูเถอะ ภายในเวลาไม่กี่อาทิตย์นี้แหละ” แหล่งข่าวรายนี้กล่าว
ตามรายงานของหนังสือพิมพ์ฉบับดังกล่าว การเจรจาหารือเบื้องต้นเกี่ยวกับการจัดหาจัดส่งอาวุธ เริ่มต้นขึ้นมาเมื่อตอนที่พวกสมาชิกของ “สภาแห่งชาติชาวซีเรีย” (Syrian National Council ใช้อักษรย่อว่า SNC) –ซึ่งเป็นขบวนการฝ่ายค้านสำคัญที่สุดของซีเรีย— เดินทางไปเยือนลิเบียเมื่อก่อนหน้านี้ของเดือนนี้
“ฝ่ายลิเบียกำลังเสนอให้ทั้งเงินทอง, การฝึกทหาร, และอาวุธแก่ทางสภาแห่งชาติชาวซีเรีย” วีซัม ตาริส (Wisam Taris) นักรณรงค์เคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชนซึ่งมีสายสัมพันธ์อยู่กับ SNC เปิดเผย ทั้งนี้เมื่อเดือนที่แล้ว คณะรัฐบาลชั่วคราวของลิเบีย กลายเป็นรัฐบาลแรกในโลกที่ประกาศรับรองขบวนการฝ่ายค้านของซีเรียว่าเป็น “ผู้มีอำนาจอย่างชอบธรรมถูกต้องตามกฎหมาย” ของประเทศ
ขณะที่พวกนักเคลื่อนไหวพูดกันว่า เวลานี้ยังไม่มีการจัดส่งอาวุธยุทโธปกรณ์กันเป็นจำนวนมากๆ เหตุผลสำคัญก็เพราะยังมีความยากลำบากในด้านการส่งกำลังบำรุง
แต่ข้อเสนอที่จะให้มีการจัดตั้ง “พื้นที่กันชน” ขึ้นภายในซีเรีย ซึ่งจะเฝ้าติดตามตรวจสอบโดยสันนิบาตอาหรับ (Arab League) หรือเป็นดินแดนภายในซีเรียที่อยู่ในความควบคุมอย่างเด็ดขาดของฝ่ายกบฎ ซึ่งน่าจะใกล้ปรากฏดินแดนลักษณะดังกล่าวขึ้นมาแล้ว ก็น่าที่จะสามารถแก้ไขปัญหานี้ได้ โดยที่ ตาริส กล่าวย้ำว่า “ข้อเสนอของทางสภา (การทหารตริโปลีของลิเบีย) นั้นมีความจริงจังมาก”
ทางด้านแหล่งข่าวหลายๆ รายในเมืองมิสราตา (Misrata) ของลิเบีย ระบุว่า อาวุธยุทโธปกรณ์บางส่วนอาจจะมีการจัดส่งให้เรียบร้อยแล้วด้วยซ้ำ ทั้งนี้มีพวกลักลอบค้าของเถื่อนหลายรายถูกจับในขณะที่กำลังขายอาวุธขนาดเล็กๆ ให้แก่ผู้ซื้อชาวซีเรียในเมืองมิสราตา ชายผู้หนึ่งซึ่งค้าปืนเถื่อนให้แก่พวกกบฎลิเบียเมื่อตอนที่เกิดสงครามกลางเมืองขึ้นในประเทศนั้น เปิดเผยให้ฟัง
ทางลิเบียนั้นมีความรู้สึกผูกพันใกล้ชิดกับการต่อสู้ของฝ่ายซีเรีย ฮาเมดา อัล-มาเกรี (Hameda al-Mageri) จาก สภาการทหารตริโปลี (Tripoli Military Council) ระบุ
สภาการทหารตริโปลีนี้ ถือเป็นผลงานของ อับเดลฮาคิม เบลฮัดจ์ บุรุษเหล็กแห่งขบวนการอิสลามิสต์ในลิเบีย
เบลฮัดจ์ คือกำลังสำคัญภายในลิเบียของพวกรัฐอ่าวอาหรับ --บางทีถ้าหากจะใช้คำว่าเป็น “ตัวแทน” ของรัฐเหล่านี้ ก็ดูจะไม่ใช่ถ้อยคำที่รุนแรงเกินไปแต่อย่างใด เมื่อเร็วๆ นี้ เขาเห็นว่าเป็นเรื่องเหมาะควรที่จะออกคำแถลง “ปฏิเสธแบบไม่ได้ปฏิเสธจริง” ฉบับหนึ่ง (ดูรายละเอียดได้ที่ http://www.tripolipost.com/articledetail.asp?c=1&i=7317&archive=1) ซึ่งกล่าวถึงข่าวที่ว่ากาตาร์ได้จัดส่งอาวุธยุทโธปกรณ์จำนวน 9 ลำเครื่องบินมายังกรุงตริโปลี เพื่อให้กองกำลังอาวุธของเขาใช้โดยเฉพาะ
เบลฮัดจ์ได้ปฏิเสธไม่ยอมรับตำแหน่งในคณะรัฐมนตรีลิเบียชุดใหม่ สืบเนื่องจากฝ่ายตะวันตกแสดงความไม่สบายใจ ถ้าหากจะมีผู้ซึ่งปรากฏสีสันเป็นพวกอิสลามิสต์เด่นๆ แม้แต่คนเดียวเข้าไปมีส่วนอยู่ในรัฐบาลใหม่ สำหรับเก้าอี้รัฐมนตรีกลาโหมซึ่งตอนแรกทำท่าจะเป็นของ เบลฮัดจ์ นั้น ในที่สุดแล้วก็ตกเป็นของผู้แทนคนหนึ่งจากเมืองซินตัน (Zintan) ซึ่งประสบความสำเร็จในการอาศัยเรื่องที่ท้องถิ่นของเขายังคงเป็นสถานที่กักกันตัว ซาอิฟ กัดดาฟี (Saif Qaddafi บุตรชายคนหนึ่งของ พ.อ.มูอัมมาร์ กัดดาฟี อดีตผู้นำของลิเบีย) มาเป็นหมากต่อรอง ถึงแม้เรื่องการกักขังดังกล่าวจะได้ดำเนินมาอย่างยืดเยื้อยาวนานและเป็นที่น่าสงสัยข้องใจ ทั้งนี้เห็นจะต้องบอกว่า กรณีการต่อรองตำแหน่งรัฐมนตรีกลาโหมคราวนี้ สมควรเป็นตัวอย่างหนึ่งที่สาธิตให้เห็นการยื่นหมูยื่นแมวอันน่าประทับใจของระบบประชาธิปไตยใหม่ในลิเบีย
ถึงแม้ไม่ได้อยู่ในคณะรัฐบาล แต่มันก็ทำให้ในเวลานี้ เบลฮัดจ์ มีโอกาสที่จะวางฐานะของตนเองให้เป็นตัวป่วนในซีเรีย ซึ่งจะทำให้ได้กำไรงดงาม แถมยังอ้างได้ด้วยว่ากระทำไปในฐานะเป็นตัวแทนของพวกรัฐอ่าวอาหรับ ตลอดจนเป็นตัวแทนการต่อต้านปฏิวัติชีอะห์/การต่อต้านปฏิวัตอิหร่านของรัฐเหล่านี้ (อีกทั้งบางทีอาจจะค่อยๆ ทำให้เงาร่างของ เบลฮัดจ์ ตลอดจนกลุ่มนักรบฮึกห้าวผ่านการฝึกหนักจำนวนหนึ่งของเขา หายไปจากถนนหนทางในกรุงตริโปลี ซึ่งน่าจะทำให้ผู้คนจำนวนมากรู้สึกสบายอกสบายใจมากขึ้น)
มีเรื่องเกร็ดขำๆ อยู่เรื่องหนึ่งที่น่าจะพูดถึงเหมือนกัน นั่นคือ ในขณะที่ เบลฮัดจ์ ดูเหมือนกำลังอยู่ระหว่างเดินทางไปเข้าร่วมการประชุมลับที่อิสตันบุลตามที่กล่าวถึงข้างต้น ปรากฏว่าเขาได้ถูกลูบคมอย่างฉันมิตรที่สนามบินจากมิตรสหายชาวซินตันของเขา หนังสือพิมพ์ท้องถิ่นในลิเบียได้รายงานว่าเขาถูกควบคุมตัวเอาไว้เป็นระยะเวลาสั้นๆ โดยที่มีเว็บไซต์โปรกัดดาฟีแห่งหนึ่ง (พวกโปรกัดดาฟียังมีอยู่หรือนี่!!) บรรยายว่า (ดูรายละเอียดได้ที่ https://rictvagencianoticias.wordpress.com/2011/11/24/%E2%80%8E241111-tripoli-airport-hakim-belhadj-arrested-with-a-false-passport-and-false-name/ ) เรื่องนี้ดูเหมือนจะมีเงินจำนวนมากเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ทั้งนี้เนื้อหาสำคัญของรายงานดังกล่าว มีดังนี้:
กองพันของนักรบจากซินตัน ได้จับกุมเขา(เบลฮัดจ์) ภายหลังตรวจพบว่า หนังสือเดินทางของเขาออกโดยเจ้าหน้าที่รับผิดชอบซึ่งไม่ถูกต้อง อีกทั้งชื่อเจ้าของหนังสือเดินทางก็เป็นชื่อปลอม
ภายหลังการจับกุมแล้ว นักรบกบฏเหล่านี้ก็ได้รับโทรศัพท์จาก มุสตาฟา อับดุล จาลิล (Mustafa Abdul Jalil) ประธานคณะมนตรี (ชื่อตำแหน่งเต็มๆ คือ ประธานคณะมนตรีระยะผ่านแห่งชาติลิเบีย Chairman of the National Transitional Council of Libya หรือก็คือประมุขแห่งรัฐลิเบียในทางพฤตินัย ดูรายละเอียดได้ที่ http://en.wikipedia.org/wiki/Mustafa_Abdul_Jalil) ขอร้องให้นักรบซินตันเหล่านี้ตลอดจนเจ้าหน้าที่ ในสนามบินตริโปลี อนุญาตให้ ฮาคิม เบลฮัดจ์ เดินทางออกนอกประเทศได้ ทั้งนี้ในการนี้ได้มีการค้นพบเงินก้อนใหญ่อยู่ภายในกระเป๋าของ คูวาอิลดี เบลฮัดจ์ (Khuwaildi Belhadj) ด้วย
เรือแห่งการปฏิวัติประชาธิปไตยได้แล่นหายลับไปเสียแล้ว สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในทุกวันนี้คือการก่อกบฎด้วยกำลังรุนแรงซึ่งมีต่างชาติคอยสนับสนุน
ฝ่ายจีนและฝ่ายรัสเซียมีสายตาอันแจ่มชัดและเข้าอกเข้าใจสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นเป็นอย่างดี
ถึงแม้สาธารณรัฐประชาชนจีนกำลังลังเลใจไม่ปรารถนาที่จะออกโรงปกป้องซีเรียให้มากเกินไป เนื่องจากเกรงว่าจะเป็นสร้างความไม่พอใจให้แก่ซาอุดีอาระเบีย ผู้เป็นซัปพลายเออร์น้ำมันรายใหญ่ที่สุดของตน
แต่สำหรับมอสโก ซึ่งมีผลประโยชน์อันแท้จริงอยู่ในการจับมือเป็นพันธมิตรกับอิ หร่าน อีกทั้งมีความห่วงใยเกี่ยวกับชะตากรรมของระบอบปกครองอัสซาด ดังนั้นจึงไม่มีอาการหวั่นเกรงอะไรเช่นนั้นเลย
พาดหัวข่าวของ อาร์ไอเอ โนโวสตี (RIA Novosti) ที่ผมคัดสรรมาจำนวนหนึ่ง น่าจะช่วยให้เกิดไอเดียว่า การตอบสนองแบบพหุภาคีในเรื่องว่าด้วยซีเรีย ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความรับผิดชอบด้วยนั้น สมควรที่จะออกมาเช่นไร (ช่างตรงกันข้ามกับการพาดหัวข่าวแบบเร่งรีบเห็นดีเห็นงามกับวิธีใช้กำลังทหาร ซึ่งถูกปล่อยออกมาโดยกลุ่มพลังต่อต้านต่อต้านอิหร่านทั่วโลก ด้วยความมุ่งหมายที่จะปกปิดอำพรางความล้มเหลวของ “การปฏิวัติสี” color revolution อย่างสันติในคราวนี้) เป็นต้นว่า:
ซีเรียยินดีให้รัสเซียเป็นคนกลางในการเจรจาปรองดอง (http://sputniknews.com/russia/20111128/169122393.html)
รมว.ต่างปท.รัสเซียแนะฝ่ายค้านซีเรีย ไม่ควรคว่ำบาตรการปฏิรูป (http://sputniknews.com/world/20111117/168795868.html)
มอสโกเรียกร้องสันนิบาตอาหรับให้ทำงานเพื่อสันติภาพในซีเรีย (http://sputniknews.com/russia/20111117/168777782.html)
แน่นอนเลยครับ ข้อเรียกร้องตามพาดหัวข่าวเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นมาเลยสักอย่างเดียว
เพื่อตอบคำถามที่ว่าทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้จะไปจบลงที่ไหน ผมขออนุญาตพูดถึงจุดปิดเกมที่กำลังทวีความเป็นไปได้มากขึ้นทุกที โดยหยิบยกทัศนะความเห็นบางตอนของ เอ็ม เค ภัทรกุมาร (M K Bhadrakumar) ผู้สมควรแก่การเคารพยกย่อง ในข้อเขียนเรื่อง “ตุรกีพร้อมแล้วที่จะรุกรานซีเรีย” (Turkey is ready to invade Syria) ของเขา ซึ่งเผยแพร่ทั้งในเอเชียไทมส์ออนไลน์ และในบล็อกส่วนตัว “Indian Punchline” ของเขา (ดูรายละเอียดได้ที่ http://blogs.rediff.com/mkbhadrakumar/2011/11/29/turkey-is-ready-to-invade-syria/) ดังนี้:
ตุรกีและเหล่าพันธมิตรชาติตะวันตกของเขา กำลังเปลี่ยนโฉมแปลงร่างนักรบชาวลิเบีย ที่พวกเขาฝึกสอนและประกอบอาวุธให้เพื่อโค่นล้ม มูอัมมาร์ กัดดาฟี (Muammar Gaddafi) เพื่อให้เข้าไปปฏิบัติการในซีเรีย เวลานี้มี “อาสาสมัคร” ชาวลิเบียราว 600 คนเดินทางเข้าซีเรียแล้ว หนังสือพิมพ์เดลี่ เทเลกราฟ รายงานว่า ได้มีการประชุมหารือลับเมื่อวันศุกร์ในนครอิสตันบุล ระหว่างพวกเจ้าหน้าที่ตุรกี, คณะผู้แทนชาวซีเรียฝ่ายค้าน, และพวกนักรบชาวลิเบีย ทั้งนี้ได้มีการแทรกซึมลักลอบนำเอาอาวุธจำนวนมากจากตุรกีและจอร์แดน เพื่อเข้าไปสร้างเงื่อนไขสำหรับการก่อสงครามกลางเมืองขึ้นในซีเรียมาเป็นเวลาหลายเดือนแล้ว ทว่าครั้งนี้เป็นความเคลื่อนไหวครั้งแรกที่มีการระบุถึง “อาสาสมัคร” ด้วย
ความเคลื่อนไหวเช่นนี้กลายเป็นความจำเป็นขึ้นมา เนื่องจากประสบความล้มเหลวไม่สามารถเกลี้ยกล่อมโน้มน้าวให้ทหารจำนวนมากแปรพักตร์ออกจากกองทัพซีเรีย โดยมีทหารที่ตัดสินใจทำเช่นนั้นเพียงแค่หยิบมือเดียว ตุรกีกับพวกมหาอำนาจตะวันตกกำลังพยายามดิ้นรนอย่างสุดฤทธิ์เพื่อสร้างมายาภาพของกองกำลัง “ชาวซีเรียฝ่ายต่อต้าน” (‘Syrian resistance’ force) ขึ้นมา โดยที่ในเวลาเดียวกันนั้นก็ยังพยายามปกปิดอำพรางไม่ให้ความก้าวร้าวรุกรานอย่างโจ๋งครึ่มของพวกเขาถูกเปิดโปงออกมาอย่างเต็มเหนี่ยว
...
สิ่งต่างๆ ดูเหมือนกำลังบ่ายหน้าไปสู่จุดปะทุเอาจริงๆ สัญญาณที่ชัดเจนที่สุดได้แก่การที่รองประธานาธิบดีโจเซฟ ไบเดน (Joseph Biden) ของสหรัฐฯ กำลังมุ่งหน้าไปยังกรุงอังการา เมืองหลวงของตุรกีในสุดสัปดาห์นี้ (ดูรายละเอียดได้ที่ http://www.todayszaman.com/newsDetail_openPrintPage.action?newsId=264221) นี่เป็นสัญญาณสำคัญมากที่สหรัฐฯกำลังบอกให้ตุรกีเดินหน้าลงมือปฏิบัติการในซีเรียโดยไม่ต้องหวาดหวั่นพรั่นพรึง นอกจากนั้น กษัตริย์อับดุลเลาะห์ (Abdullah) แห่งจอร์แดน ก็เสด็จพระราชดำเนินไปยังอิสราเอล พระราชาธิบดีแห่งจอร์แดนพระองค์นี้ ทรงเป็น “ช่องทางหลังบ้าน” ของซาอุดีอาระเบียในการติดต่อกับอิสราเอล และทรงเป็นพันธมิตรรายสำคัญในภูมิภาคของแวดวงข่าวกรองตะวันตก
ตุรกีเวลานี้กำลังพยายามลิดรอนความหวาดกลัวของตนต่อสิ่งที่ยังไม่ทราบแน่ชัด และกำลังก้าวออกมาแสดงความคิดเห็นอย่างเปิดเผยในเรื่องเกี่ยวกับสถานการณ์ซีเรีย รัฐมนตรีต่างประเทศ อาเม็ต ดาวูโตกลู (Ahmet Davutoglu) ของตุรกี ได้แสดงท่าทีในวันนี้ (ดูรายละเอียดได้ที่ http://www.hurriyetdailynews.com/default.aspx?pageid=438&n=turkey-ready-for-scenario-in-syria-turkish-foreign-minister-2011-11-29) โดยบ่งชี้เป็นครั้งแรกว่า ตุรกีเตรียมพร้อมทุกสิ่งทุกอย่างแล้วในการเข้าทำการรุกรานซีเรีย ทันทีที่ได้รับสัญญาณไฟเขียวจากพวกพันธมิตรฝ่ายตะวันตกของตน เขากล่าวถึงเรื่องนี้ก่อนที่จะมุ่งหน้าไปเข้าร่วมการประชุมร่วมของบรรดารัฐมนตรีต่างประเทศชาติอียู กับคณะผู้แทนของสันนิบาติอาหรับ (ซึ่งที่สำคัญที่สุดย่อมได้แก่ ซาอุดีอาระเบีย และกาตาร์)
วันที่ 29 พฤศจิกายน อันเป็นวันที่ ดาวูโตกลู พูดเรื่องนี้ จะกลายเป็นวันซึ่งมีความสำคัญโดดเด่นน่าจดจำวันหนึ่งในบันทึกประวัติศาสตร์ของสาธารณรัฐตุรกี ซึ่งมี เคมาล อาตาเติร์ก (Kemal Ataturk) เป็นผู้ก่อตั้ง สิ่งที่อาตาเติร์กเคยถือว่าเป็น “เส้นแดง” (red line) ที่จะล่วงล้ำมิได้ ก็คือ ตุรกีจะต้องไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวพัวพันในกิจการของชาวมุสลิมในตะวันออกกลาง ตรงกันข้าม ตุรกีควรที่จะรวมศูนย์ความสนใจไปที่ “การก้าวไปสู่ความทันสมัย” ของตนเอง เห็นได้อย่างชัดเจนว่า รัฐบาลอิสลามิสต์ที่ครองอำนาจอยู่ในตุรกีทุกวันนี้มองเห็นว่า ตุรกีในวันนี้ “ทันสมัย” เพียงพอแล้ว และตอนนี้สามารถที่จะหวนกลับไปกล่าวอ้างสิทธิในมรดกแห่งยุคจักรวรรดิออตโตมัน (Ottoman) ของตนได้อีกครั้งหนึ่งแล้ว
กองทัพตุรกีกำลังจะเคลื่อนพลเข้าไปยังประเทศอาหรับประเทศหนึ่ง –นี่คือจุดหัวเลี้ยวหัวต่อแห่งประวัติศาสตร์ มันเป็นเวลา 1 ศตวรรษมาแล้วหลังจากที่ชาวตุรกีถูกขับไล่ออกมาโดย “การก่อกบฏของชาวอาหรับ” ชะตากรรมกำลังค่อยๆ เล่นตลกกับเราโดยแท้ การก่อกบฏของชาวอาหรับเพื่อต่อต้านตุรกีคราวนั้นได้รับการกระตุ้นยุยงจากอังกฤษ และอังกฤษถึงแม้กลายเป็นมหาอำนาจที่อ่อนแอลงไปมากมหาศาลแล้วในทุกวันนี้ แต่ก็ยังคงแสดงบทบาทอันทรงอิทธิพล –ยกเว้นแต่การที่อังกฤษกำลังสนับสนุนให้ตุรกีหวนกลับเข้าไปในโลกอาหรับอีกครั้ง เมื่อหนึ่งร้อยปีก่อน อังกฤษประสบความสำเร็จในการวางอุบายให้ชาวอาหรับรวมตัวกันเล่นงานตุรกี ทุกวันนี้ ตุรกีกำลังจับมือกับชาวอาหรับบางส่วนที่มีเรื่องไม่พอใจชาวอาหรับอื่นๆ บางคน
นักปฏิวัติชาวซีเรียนั้นอ่อนแอเกินกว่าที่จะสามารถสร้างชาติอย่างที่พวกเขาต้องการได้
พวกเขาจะต้องพยายามอยู่กับรัฐแบบไหนก็ตามทีที่ตุรกี, มหาอำนาจอ่าวอาหรับ, และพวกชาติประชาธิปไตยตะวันตก ตัดสินใจที่จะมอบให้แก่พวกเขา
ปีเตอร์ ลี เป็นนักเขียนที่สนใจเรื่องกิจการเอเชียตะวันออกและเอเชียใต้ ตลอดจนจุดตัดกันระหว่างภูมิภาคเหล่านี้กับนโยบายการต่างประเทศของสหรัฐฯ สามารถอ่านบทความของเขาได้ที่เว็บบล็อกของเขาชื่อ China Matters (http://chinamatters.blogspot.com/)
The West's criminal culpability in Syria
By Peter Lee
13/03/2015
ความโหดเหี้ยมสยดสยองที่เกิดขึ้นในซีเรียทุกวันนี้ เป็นสิ่งที่เกินกว่าจะบรรยายออกมาให้ครบถ้วนได้ แต่กระนั้นเรายังสามารถที่จะมองเห็นภาพรวมของมันได้ ด้วยการเริ่มต้นจากตัวเลข 2-3 จำนวน กล่าวคือ “7,000” –นี่คือตัวเลขประมาณการผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ไม่สงบหลังจากที่รัฐบาลอัสซาด บดขยี้ปราบปรามกระแสการลุกฮือภายในประเทศในปี 2012 ส่วนคือตัวเลขอีกจำนวนหนึ่ง คือ “193,000” ซึ่งเป็นตัวเลขผู้เสียชีวิตนับตั้งแต่ที่สหรัฐฯและเพื่อนพ้องผู้สามารถของเขา เริ่มต้นอัดฉีดทรัพยากรต่างๆ เข้าไปให้แก่กลุ่มติดอาวุธกึ่งทหารหลายหลากกลุ่มในประเทศนั้น
หนังสือพิมพ์ เดอะการ์เดียน (The Guardian) ของอังกฤษเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ได้รำลึกวาระครบรอบปีที่ 4 ของสงครามความขัดแย้งในซีเรีย ด้วยการเสนอตัวเลขอันปลุกให้เกิดความตื่นตระหนกตามแบบฉบับที่หนังสือพิมพ์ฉบับนี้นิยมกระทำเสมอมา โดยในคราวนี้ระบุว่าสงครามในประเทศตะวันออกกลางแห่งนี้ ได้ทำให้มี “คนตาย 200,000 คน คนอพยพลี้ภัย 3.5 ล้านคน” แล้ว
อันที่จริงเดอะการ์เดียนยังควรที่จะรำลึกวาระครบรอบ 3 ปีครึ่งของการนองเลือด, การทำลายล้าง, และความทุกข์ยากเดือดร้อน ซึ่งก่อขึ้นกับซีเรียโดยฝีมือของสหรัฐฯ, สหภาพยุโรป(อียู), และคณะมนตรีความร่วมมือรัฐอ่าวอาหรับ (Gulf Cooperation Council ใช้อักษรย่อว่า GCC) โดยที่ตามความเห็นของผมแล้ว ชาติเหล่านี้ก่อการฆาตกรรม, ความผิดฐานอาชญากรรมสงคราม, ตลอดจนการร่วมกันเล่นงานลงโทษอย่างร้ายกาจต่างๆ เช่นนี้ ส่วนใหญ่ทีเดียวได้รับการรับรองเห็นชอบอย่างกระตือรือร้นจากเดอะการ์เดียน และประดาพี่ๆ น้องๆ สื่อมวลชนของเขานั่นเอง
คิดว่าผมกำลังพูดเกินความเป็นจริงหรือครับ? แต่ก่อนอื่นเลยผมขอให้อ่านข้อเขียนชิ้นที่ผมเขียนเอาไว้ในเดือนพฤศจิกายน 20011 (http://chinamatters.blogspot.com/2011/11/syrian-revolution-hijacked.html ซึ่งผมได้ปรับปรุงนำเอามาโพสต์ใหม่อีกครั้งข้างล่างนี้แล้ว) อันเป็นช่วงเวลาซึ่งมีความกระจ่างชัดเจนแล้วว่า การลุกฮือภายในประเทศซีเรียกำลังบ่ายหน้าไปสู่ความพ่ายแพ้ปราชัย และโลกตะวันตกกับคณะมนตรีความร่วมมือรัฐอ่าวอาหรับต้องเผชิญกับทางเลือกอันสำคัญยิ่งยวด 2 ทาง ทางหนึ่งคือ การยินยอมปล่อยให้ (คณะรัฐบาลของประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-) อัสซาด ดำเนินการปะผุซ่อมแซมกระบวนการปรองดองในซีเรียบางอย่างบางประการเพื่อให้เดินหน้าไปได้ ...ส่วนอีกทางหนึ่งคือ การพยายามหาทางโค่นเขาลงมาให้ได้ต่อไปอีก โดยคราวนี้เป็นการใช้วิธีการก่อกบฏด้วยกำลังรุนแรง ซึ่งมีต่างชาติให้ความสนับสนุน
พวกเราทั้งหลายต่างทราบ –หรือควรที่จะทราบกันเป็นอย่างดีแล้วว่า –ได้มีการเลือกเดินไปในหนทางไหน
และพวกเราควรที่จะทราบ –แต่บางทีก็อาจจะยังไมทราบ— ถึงราคาค่าใช้จ่ายจริงๆ ที่เกิดขึ้นมา
ขอให้ลองพิจารณาเปรียบเทียบตัวเลข 2 จำนวนนี้ดูนะครับ: 7,000 ... กับ 193,000
7,000 คือตัวเลขประมาณการผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ความไม่สงบในซีเรีย หลังจากที่รัฐบาลซีเรียได้บดขยี้ปราบปรามที่มั่นสำคัญของฝ่ายกบฎในเมืองฮอมส์ (Homs) เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2012 และทำลายการลุกฮือภายในประเทศให้แหลกเป็นเสี่ยงๆ
193,000 คือตัวเลขจำนวนผู้เสียชีวิตนับตั้งแต่นั้น ... นับตั้งแต่ที่สหรัฐฯ, คณะมนตรีความร่วมมือรัฐอ่าวอาหรับ, ตุรกี, และเพื่อนพ้องผู้สามารถของพวกเขา เริ่มต้นอัดฉีดเงินทอง, อาวุธยุทโธปกรณ์, และการสนับสนุนทางการทูต เข้าไปให้แก่กลุ่มติดอาวุธกึ่งทหารหลายหลากกลุ่มที่ตั้งฐานอยู่ในซีเรีย ซึ่งในที่สุดแล้วได้ถูกเขย่าให้รวมกันไม่แต่เพียงกลายเป็น “กองทัพชาวซีเรียเสรี” (Free Syrian Army) ที่อาภัพอับโชคเท่านั้น หากแต่ยังกลายเป็น อัลกออิดะห์, กลุ่มรัฐอิสลาม (ไอเอส), ตลอดจนเครือข่ายและแวดวงพันธมิตรของกลุ่มเหล่านี้อีกด้วย
หลังจากคุณอ่านข้อเขียนของผมชิ้นที่อยู่ข้างล่างนี้แล้ว คุณย่อมจะมองเห็นได้ว่าตัวละครเลวๆ บางตัวกำลังหวนกลับมาปรากฏตัวอีกคำรบหนึ่ง เป็นต้นว่า วิกตอเรีย นูแลนด์ (Victoria Nuland) ซึ่งเป็นผู้รับหน้าที่ในการกระตุ้นยั่วยุให้ฝ่ายค้านซีเรียในตอนนั้นเพิกเฉยไม่เอาการปรองดอง, เป็นต้นว่า อับเดลฮาคิม เบลฮัดจ์ (Abdelhakim Belhadj) ผู้ซึ่งในเส้นทางแห่งการเดินทัพทางไกลของเขาจากการเป็นพวกอิสลามิสต์ผู้ต่อต้านกัดดาฟี กลายมาเป็นผู้นำที่มีชื่อเสียงของกลุ่มไอเอส ลิเบีย (IS Libya) เวลานี้กำลังปรากฏตัวขึ้นในตุรกีเพื่อทำหน้าที่สงเคราะห์ช่วยเหลือชาวซีเรียฝ่ายค้าน
มีผู้คนต้องล้มตายไปมากมายเหลือเกิน ...มีการฆาตกรรมเกิดขึ้นมากมายเหลือเกิน ... ในระยะเวลา 3 ปีครึ่งนี้
7,000 ต่อ 193,000 ทีเดียว
อย่างที่ผมระบุเอาไว้ในทวิตเตอร์ของผมนั่นแหละครับ ผมล่ะสงสัยจริงๆ ว่าในกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯจะได้เคยมีการฉุกคิดทบทวนกันบ้างหรือเปล่า เกี่ยวกับการปฏิเสธทอดทิ้งเส้นทางสู่การปรองดองในซีเรีย
ผมสงสัยจริงๆ ว่าคงจะไม่มี ระบบการกำหนดนโยบายการต่างประเทศของสหรัฐฯนั้น มุ่งที่จะรับมือจัดการกับผลต่อเนื่องที่ตามมา ไม่ใช่เน้นมองไปที่ต้นเหตุ เมื่อทำอย่างนี้แล้ว พวกเขาย่อมสามารถที่จะตัดลดความรับผิดชอบในเวลาที่นโยบายดังกล่าวประสบความล้มเหลว แต่กลับสามารถอวดอ้างได้อย่างหน้าชื่นตาบานเมื่อมีชัยชนะพบกับความสำเร็จ
แต่ขอได้โปรดจดจำตัวเลขเหล่านี้เอาไว้นะครับ: 7,000 เปรียบเทียบกับ 193,000
ยังมีตัวเลขอีกจำนวนหนึ่งซึ่งสมควรแก่การจดจำ: 5,400
นี่คือตัวเลขกึ่งทางการของจำนวนผู้ที่เสียชีวิตไปในสงครามความขัดแย้งที่ยูเครน (ดูรายละเอียดได้ที่ http://www.bbc.com/news/world-europe-31392473) ถึงแม้การประมาณการอย่างไม่เป็นทางการของหลายๆ สำนักต่างให้ตัวเลขซึ่งสูงกว่านี้มาก
นี่คือตัวเลขในขณะนี้
ผมกำลังหวังว่าในเวลาอีก 3 ปีครึ่งข้างหน้า เราจะไม่ต้องเห็นการกระทำอันโง่เขลาที่ทำให้เกิดการนองเลือดมีผู้เสียชีวิตไปอย่างมโหฬาร บังเกิดขึ้นมาอีกที่ยูเครน
สำหรับข้อเขียนที่ผมเคยโพสต์เอาไว้ในเดือนพฤศจิกายน 2011 ซึ่งผมนำมาปรับปรุงใหม่ มีเนื้อหาดังต่อไปนี้ครับ:
วันอังคารที่ 29 พฤศจิกายน 2011
การปฏิวัติซีเรียถูกคนแย่งชิงเอาไปเป็นตัวประกันเสียแล้ว (The Syrian Revolution Hijacked)
การปฏิวัติซีเรีย –ที่เป็นขบวนการระดับชาติซึ่งมีฐานอันใหญ่โตกว้างขวาง, ไม่แบ่งแยกกีดกันนิกายศาสนา, เป็นประชาธิปไตย, และต่อต้านเผด็จการ— ได้ล้มเหลวลงแล้ว
การเรียกร้องให้มวลชนจำนวนมหาศาลออกมาชุมนุมเดินขบวนในกรุงดามัสกัส และเมืองอะเลปโป (Aleppo) ไม่ได้ปรากฏเป็นความจริงขึ้นมา กองทัพและกองกำลังความมั่นคงไม่ได้เกิดการแตกแยกร้าวฉาน การที่ชาวอลาวิต (Alawite ถือเป็นนิกายชีอะห์สาขาหนึ่ง ชาวอลาวิตเป็นแกนกำลังหลักทั้งของกองทัพ/กองกำลังความมั่นคง/แก๊งอันธพาลในซีเรีย) ดำเนินการปราบปรามบดขยี้ชาวสุหนี่ เป็นสิ่งที่บ่มเพาะให้เกิดการแตกแยกทางนิกายศาสนาก็จริงอยู่ ทว่าชนกลุ่มน้อยที่มิใช่สุหนี่ส่วนใหญ่แล้วยังคงมีความศรัทธาภักดีอย่างเต็มที่ต่อระบอบปกครองอัสซาด ขณะที่พวกชาวสุหนี่ผู้มั่งคั่งร่ำรวยซึ่งถูกสันนิษฐานว่ากำลังหันมาใช้วิธีจับปลาสองมือ ด้วยการบริจาคเงินให้แก่ขบวนการต่อต้านรัฐบาลด้วยในระยะหลังๆ มานี้ ทว่าแท้จริงแล้วพวกเขาก็ยังไม่ถึงขั้นตัดสินใจที่จะทอดทิ้งระบอบปกครองอัสซาดอย่างเปิดเผยเต็มตัว
พวกมหาอำนาจในอ่าวอาหรับและฝ่ายตะวันตก ต่างปรารถนาเหลือเกินที่จะได้เห็นการล่มสลายของระบอบปกครองพรรคบาธ (Baath) ในอีกประเทศหนึ่ง ด้วยน้ำมือของการชุมนุมเดินขบวนต่อต้านรัฐบาลของผู้คนภายในชาตินั้นเอง
ทว่า สิ่งนั้นไม่ได้บังเกิดขึ้นขึ้นมาในซีเรีย
ในขณะที่ขบวนการต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตยซีเรียอยู่ในอาการโซเซง่อนแง่นเต็มทีแล้วเช่นนี้ ยังคงไม่มีความเคลื่อนไหวจากฝ่ายตะวันตก/มหาอำนาจอ่าวอาหรับ ที่จะกระตุ้นสนับสนุนให้มีการดำเนินการปรองดอง เพื่อผลักดันให้เกิดการปฏิรูปขึ้นมา
ในความเป็นจริงแล้ว มันกลับเป็นตรงกันข้าม
เมื่อใดก็ตามที่อัสซาดยื่นข้อเสนอว่าพร้อมดำเนินการปฏิรูป เหล่ามหาอำนาจฝ่ายตะวันตกก็จะบอกปัดโดยประทับตราว่า สายเกินไปแล้ว และ/หรือ ไม่มีความจริงใจ
วิกตอเรีย นูแลนด์ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ให้คำแนะนำแก่พวกชาวซีเรียที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลว่า ต้องปฏิเสธและท้าทายข้อเสนอของระบอบปกครองอัสซาด ที่จะประกาศนิรโทษกรรมพวกเขา แลกเปลี่ยนกับการที่ฝ่ายค้านยอมส่งมอบอาวุธผิดกฎหมายทั้งหลายซึ่งครอบครองอยู่ ดังที่หนังสือพิมพ์ลอสแองเจเลิสไทมส์ รายงานเอาไว้ (ดูรายละเอียดรายงานข่าวนี้ได้ที่ http://mobile.latimes.com/p.p?a=rp&m=b&postId=1124829&curAbsIndex=1&resultsUrl=DID%3D6%26DFCL%3D1000%26DSB%3Drank%2523desc%26DBFQ%3DuserId%253A7%26DL.w%3D%26DL.d%3D10%26DQ%3DsectionId%253A6898%26DPS%3D0%26DPL%3D3) ดังนี้:
ซีเรียกล่าวหาวอชิงตันว่า “กำลังกระตุ้นยั่วยุให้เกิดการขัดขืนอำนาจปกครอง, สนับสนุนพฤติการณ์เข่นฆ่าสังหารและการก่อการร้าย” สำนักข่าวของทางการซีเรียรายงาน โดยอ้างแหล่งข่าวที่เป็นเจ้าหน้าที่ผู้หนึ่งในกระทรวงการต่างประเทศของซีเรีย
...
ความเห็นเช่นนี้บังเกิดขึ้น 1 วันภายหลังที่โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ วิกตอเรีย นูแลนด์ ประกาศว่า เธอจะแนะนำชาวซีเรียให้ปฏิเสธข้อเสนอนิรโทษกรรม ซึ่งตามเงื่อนไขที่ฝ่ายรัฐบาลกำหนดเอาไว้นั้น เรียกร้องให้พวกที่กระทำความผิดเกี่ยวกับอาวุธ ต้องมอบตัวพร้อมด้วยอาวุธที่มีอยู่ “ ณ สถานีตำรวจแห่งที่อยู่ใกล้ที่สุด” ภายในระยะเวลา 1 สัปดาห์นับตั้งแต่วันเสาร์เป็นต้นไป พวกที่ยอมมอบตัวและไม่ได้เคยเข่นฆ่าผู้ใด กระทรวงมหาดไทยซีเรียระบุว่า “จะได้รับการปล่อยตัวในไม่ช้า”
“ดิฉันจะไม่แนะนำให้ใครทั้งสิ้น ยอมมอบตัวต่อพวกเจ้าหน้าที่รับผิดชอบของระบอบปกครองในขณะนี้หรอก” นูแลนด์ บอกกับผู้สื่อข่าวในกรุงวอชิงตัน
น่าสังเกตว่า นูแลนด์ แต่งงานเป็นภรรยาของ โรเบิร์ต คาแกน (Robert Kagan) ผู้ร่วมก่อตั้งสำนักศึกษาวิจัย “โครงการเพื่อศตวรรษอเมริกันใหม่” (Project for the New American Century ใช้อักษรย่อว่า PNAC) ที่มีแนวความคิดแบบอนุรักษนิยมใหม่ (Neoconservative) อีกทั้งเป็นนักคิดคนสำคัญของฝ่ายนีโอคอนด้วย
เมื่อหวนย้อนระลึกถึงความกระดี๊กระด๊าของ (รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ) ดิ๊ก เชนีย์ (Dick Cheney) ที่พยายามผลักดันให้ตามเล่นงานดามัสกัสต่อไปด้วย ในช่วงหลังจากสหรัฐฯเปิด “ยุทธการเสรีภาพของชาวอิรัก” (Operation Iraqi Freedom) ยกกำลังทหารเข้ารุกรานและยึดครองอิรักในปี 2003 แล้ว บางทีเราอาจจะต้องขนานนามความพยายามที่จะเข้าไปเสี่ยงภัยครั้งใหม่ในซีเรียนี้ โดยเลียนแบบชื่อภาพยนตร์ฮอลลีวู้ด ว่า “Clean Break II: The Do-Over” กระมัง
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะคิดพลิกแพลงไปทางไหน ความเป็นจริงที่ต้องสรุปออกมาก็คือ ความพยายามในแนวทางประชาธิปไตยใช้ไม่ได้ผลในซีเรียเสียแล้ว ดังนั้นจึงถึงเวลาสำหรับการงัดเอา “แผน บี” มาใช้
เหล่ามหาอำนาจต่างชาติซึ่งมุ่งมั่นที่จะเห็นระบอบปกครองอัสซาดล้มครืน –และทำให้อิหร่านสูญเสียพันธมิตรในภูมิภาครายหนึ่งไปด้วย— ได้ตัดสินใจแล้วที่จะนำเอาวิธีก่อกบฏยึดอำนาจด้วยความรุนแรงโดยมีต่างชาติคอยหนุนหลัง มาขี่บนหลังของขบวนการต่อต้านรัฐบาลที่กำลังสั่นคลอนโงนเงน
หรือถ้าจะพูดกันให้ถูกต้องแม่นยำยิ่งขึ้นก็ต้องบอกว่า การปฏิวัติประชาธิปไตยในเวลานี้ได้กลายเป็นเพียงผู้โดยสารที่ไม่มั่นใจและไม่เต็มใจ แต่ถูกนำเอามานั่งอยู่บนกลไกทางทหาร ซึ่งได้เงินทุนหนุนหลังจากรัฐอ่าวอาหรับ และกำลังพยายามเดินเครื่องคำรามมุ่งหน้าสู่กรุงดามัสกัส
สถานที่หลบภัยสำหรับพวกนักรบต่อต้านอัสซาดนั้น มีการจัดเตรียมไว้ให้ในตุรกีแล้ว ส่วนอาวุธยุทโธปกรณ์และเงินทองก็กำลังไหลทะลักเข้ามาจากที่ต่างๆ เยอะแยะไปหมด
อันที่จริงแล้ว อาวุธยุทโธปกรณ์และเงินทองที่เตรียมไว้สำหรับพวกต่อต้านอัสซาดที่จะใช้วิธีก่อกบฏด้วยกำลังรุนแรงนั้น ได้ค่อยๆ ไหลเอื่อยสะสมมากขึ้นเรื่อยๆ เป็นเวลาแรมเดือนแล้ว โดยไม่เป็นที่สังเกตสังกาพบเห็นของพวกสื่อมวลชนตะวันตก ซึ่งมุ่งมั่นแต่จะเสนอภาพของผู้ชุมนุมเดินขบวนเรียกร้องประชาธิปไตยที่กำลังต่อสู้กับการกดขี่ปราบปราม (ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้จากข้อเขียนของผม http://chinamatters.blogspot.com/2011/10/syrian-bloodshed-and-wests-abdication.html)
มาถึงเวลานี้ เมื่อหนทางเลือกในการแก้ปัญหาด้วยวิธีการเมือง กำลังเลื่อนหล่นตกลงไปจากโต๊ะเสียแล้ว และเป็นที่แจ่มแจ้งชัดเจนว่า จำเป็นที่จะต้องหันมาใช้วิธีก่อกบฏด้วยกำลังรุนแรงโดยได้รับเงินทุนสนับสนุนจากต่างชาติ เพื่อโค่นล้มระบอบปกครองอัสซาดลงให้ได้ กองอาวุธยุทโธปกรณ์ตลอดจนเงินทุนเงินทองที่ไหลทะลักกันเข้ามา จึงกำลังมีขนาดใหญ่โตจนเกินกว่าที่จะปกปิดทำเพิกเฉยไม่รู้ไม่ชี้ได้เสียแล้ว
อันที่จริง เรื่องราวเช่นนี้ไม่จำเป็นที่จะต้องพึ่งพาอาศัยการรายงานข่าวผ่านสื่อมวลชนรายหลักๆ แบบเก่าๆ เดิมๆ อีกแล้วด้วยซ้ำไป
สิ่งที่นักข่าวจะต้องทำ ก็เพียงแค่เดินเข้าไปในห้องของพวกผู้แถลงข่าวในกระทรวงการต่างประเทศตุรกี ดื่มน้ำชา รับประทานขนมคุกกี้ และสนทนากับเจ้าหน้าที่ผู้พร้อมบรรยายสรุปภูมิหลังข่าวให้ฟังตามที่เล็งเอาไว้สักคนหนึ่ง
ตุรกีนั้น ขณะนี้กำลังวางตำแหน่งตนเองให้เป็นตัวแทนชนิดที่ไม่อาจขาดหายไปได้ ของฝ่ายตะวันตก/รัฐอ่าวอาหรับ ในอาณาบริเวณพรมแดนด้านเหนือของซีเรีย
ลักษณะของรายงานข่าวเช่นที่กล่าวมานี้ อาจเห็นได้จากรายงานของสำนักข่าวไออาร์เอ็นเอ (IRNA news agency) ของทางการอิหร่าน (ดูรายละเอียดได้ที่ http://www.presstv.ir/detail/212224.html) ซึ่งได้อ้างอิงอีกต่อหนึ่งถึงรายงานชิ้นที่ปรากฏอยู่ในหนังสือพิมพ์ขนาดแทบลอยด์ชื่อ มิลลิเยต (Milliyet) อันเป็นองค์การข่าวขนาดใหญ่รายหนึ่งของตุรกี ผมต้องขอบอกเอาไว้ก่อนว่า บางครั้งไออาร์เอ็นเอก็หยิบเอาข่าวระหว่างประเทศมานำเสนอแบบเลือกสรรเฉพาะบางประเด็น และ/หรือ กระทั่งมีเนื้อหาที่ไม่ถูกต้อง ดังนั้น ผมจึงเอาเรื่องนี้มาเล่าต่อพร้อมกับคำเตือน อย่างไรก็ดี สำหรับผมแล้ว รายงานข่าวของไออาร์เอ็นเอชิ้นนี้ ถือว่าผ่านการทดสอบ ไม่ได้มีกลิ่นอันน่าสงสัยข้องใจอะไร ทั้งนี้ รายละเอียดที่น่าสนใจของข่าวไออาร์เอ็นเอชิ้นนี้มีดังนี้ครับ:
ตามข่าวของ มิลลิเยต ซึ่งอ้างอิงโดยไออาร์เอ็นเอนั้น ระบุว่า ฝรั่งเศสได้จัดส่งหน่วยฝึกสอนทหารของตน เดินทางมาที่ตุรกีและเลบานอนแล้ว เพื่อฝึกอบรมกองกำลังที่เรียกขานกันว่า “กองทัพชาวซีเรียเสรี” (Free Syrian Army) –ซึ่งก็คือกลุ่มของพวกคนทรยศที่ตั้งฐานปฏิบัติการอยู่ในตุรกีและเลบานอน— ในความพยายามที่จะเปิดศึกทำสงครามกับกองทัพของซีเรีย
รายงานชิ้นนี้กล่าวต่อไปว่า พวกเจ้าหน้าที่รับผิดชอบทั้งของฝรั่งเศส, อังกฤษ, และตุรกี ยังได้ “บรรลุข้อตกลงร่วมกันในการจัดส่งอาวุธยุทโธปกรณ์เข้าไปในซีเรีย”
หนังสือพิมพ์รายวันของตุรกีฉบับดังกล่าวบอกว่า ทั้งสองประเทศนี้ได้แจ้งให้สหรัฐฯทราบแล้ว เกี่ยวกับการฝึกสอนและการประกอบอาวุธให้แก่ชาวซีเรียฝ่ายค้านเหล่านี้
ตามรายงานของ มิลลิเยต เวลานี้มีพวกกบฏประกอบอาวุธแล้วกลุ่มหนึ่งกำลังรวมตัวกันอยู่ในจังหวัดฮาตัย (Hatay) ของตุรกี ซึ่งตั้งอยู่ใกล้ๆ พรมแดนติดต่อกับซีเรีย
รายงานนี้ปรากฏออกมา หลังจากมีรายงานข่าวอีกชิ้นหนึ่งก่อนหน้านี้ซึ่งเปิดเผยว่า สำนักงานข่าวกรองของอังกฤษและของฝรั่งเศส ได้มอบหมายภารกิจให้สายลับของพวกตนคอยติดต่อกับชาวซีเรียผู้ไม่พอใจรัฐบาลซึ่งตั้งฐานอยู่ในเมืองตริโปลี (Tripoli) เมืองเล็กๆ ที่อยู่ทางตอนเหนือของเลบานอน เพื่อที่จะได้คอยช่วยเหลือโหมกระพือความไม่สงบในซีเรีย
รายงานข่าวเหล่านี้ระบุด้วยว่า ได้มีการจัดส่งสายลับหน่วยข่าวกรองของฝรั่งเศส ไปยังภาคเหนือของเลบานอนและตุรกี เพื่อก่อตั้งหน่วยทหารของ “กองทัพชาวซีเรียเสรี” หน่วยแรก ขึ้นมา จากประดาทหารหนีทัพซึ่งเดินทางหลบหนีออกจากซีเรีย
สำหรับคุณๆ ซึ่งต้องการได้ข่าวเกี่ยวกับ ตุรกี/ซีเรีย จากแหล่งข่าว “นักรบครูเสด” ที่น่าเชื่อถือสักรายหนึ่งมากกว่า ต่อไปนี้คือรายงานข่าวชิ้นซึ่งคงทำให้ต้องถึงกับขมวดคิ้ว รายงานนี้มีต้นทางคือหนังสือพิมพ์เดลี่ เทเลกราฟ (Daily Telegraph) ของอังกฤษ แต่รายงานผ่านทางหนังสือพิมพ์เฮอร์ริเยต (Hurriyet) ของตุรกีอีกต่อหนึ่ง ในฉบับประจำวันที่ 27 พฤศจิกายน (ดูรายละเอียดได้ที่ http://www.hurriyetdailynews.com/default.aspx?pageid=438&n=new-libya-offers-weapons-to-syrian-dissidents-daily-2011-11-27) ดังนี้:
ชาวซีเรียที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลได้จัดการเจรจาหารือลับเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายนกับพวกเจ้าหน้าที่รับผิดชอบชุดใหม่ของลิเบีย และพวกเจ้าหน้าที่รับผิดชอบของตุรกี ณ นครอิสตันบุล โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะให้มีการจัดส่งอาวุธและเงินทองอย่างมั่นคงปลอดภัย ไปให้แก่การก่อกบฏต่อต้านดามัสกัสของพวกเขา ทั้งนี้ตามรายงานของเดลี่ เทเลกราฟ
ในระหว่างการเจรจาหารือคราวนี้ กลุ่มชาวซีเรียฝ่ายค้านได้ร้องขอ “ความช่วยเหลือ” จากคณะตัวแทนชาวลิเบีย และก็ได้รับข้อเสนอที่จะให้อาวุธยุทโธปกรณ์ รวมทั้งความเป็นไปได้ที่อาจจะมีการจัดหาอาสาสมัครให้ด้วย หนังสือพิมพ์ฉบับนี้รายงานในวันที่ 25 พฤศจิกายน
“กำลังมีการวางแผนบางอย่างที่จะจัดส่งอาวุธ และกระทั่งนักรบชาวลิเบียด้วย ไปยังซีเรีย” แหล่งข่าวชาวลิเบียรายหนึ่งเปิดเผยโดยขอให้สงวนนาม “กำลังจะมีการแทรกแซงด้วยกำลังทหารจากภายนอกขึ้นมาแล้ว คุณคอยดูเถอะ ภายในเวลาไม่กี่อาทิตย์นี้แหละ” แหล่งข่าวรายนี้กล่าว
ตามรายงานของหนังสือพิมพ์ฉบับดังกล่าว การเจรจาหารือเบื้องต้นเกี่ยวกับการจัดหาจัดส่งอาวุธ เริ่มต้นขึ้นมาเมื่อตอนที่พวกสมาชิกของ “สภาแห่งชาติชาวซีเรีย” (Syrian National Council ใช้อักษรย่อว่า SNC) –ซึ่งเป็นขบวนการฝ่ายค้านสำคัญที่สุดของซีเรีย— เดินทางไปเยือนลิเบียเมื่อก่อนหน้านี้ของเดือนนี้
“ฝ่ายลิเบียกำลังเสนอให้ทั้งเงินทอง, การฝึกทหาร, และอาวุธแก่ทางสภาแห่งชาติชาวซีเรีย” วีซัม ตาริส (Wisam Taris) นักรณรงค์เคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชนซึ่งมีสายสัมพันธ์อยู่กับ SNC เปิดเผย ทั้งนี้เมื่อเดือนที่แล้ว คณะรัฐบาลชั่วคราวของลิเบีย กลายเป็นรัฐบาลแรกในโลกที่ประกาศรับรองขบวนการฝ่ายค้านของซีเรียว่าเป็น “ผู้มีอำนาจอย่างชอบธรรมถูกต้องตามกฎหมาย” ของประเทศ
ขณะที่พวกนักเคลื่อนไหวพูดกันว่า เวลานี้ยังไม่มีการจัดส่งอาวุธยุทโธปกรณ์กันเป็นจำนวนมากๆ เหตุผลสำคัญก็เพราะยังมีความยากลำบากในด้านการส่งกำลังบำรุง
แต่ข้อเสนอที่จะให้มีการจัดตั้ง “พื้นที่กันชน” ขึ้นภายในซีเรีย ซึ่งจะเฝ้าติดตามตรวจสอบโดยสันนิบาตอาหรับ (Arab League) หรือเป็นดินแดนภายในซีเรียที่อยู่ในความควบคุมอย่างเด็ดขาดของฝ่ายกบฎ ซึ่งน่าจะใกล้ปรากฏดินแดนลักษณะดังกล่าวขึ้นมาแล้ว ก็น่าที่จะสามารถแก้ไขปัญหานี้ได้ โดยที่ ตาริส กล่าวย้ำว่า “ข้อเสนอของทางสภา (การทหารตริโปลีของลิเบีย) นั้นมีความจริงจังมาก”
ทางด้านแหล่งข่าวหลายๆ รายในเมืองมิสราตา (Misrata) ของลิเบีย ระบุว่า อาวุธยุทโธปกรณ์บางส่วนอาจจะมีการจัดส่งให้เรียบร้อยแล้วด้วยซ้ำ ทั้งนี้มีพวกลักลอบค้าของเถื่อนหลายรายถูกจับในขณะที่กำลังขายอาวุธขนาดเล็กๆ ให้แก่ผู้ซื้อชาวซีเรียในเมืองมิสราตา ชายผู้หนึ่งซึ่งค้าปืนเถื่อนให้แก่พวกกบฎลิเบียเมื่อตอนที่เกิดสงครามกลางเมืองขึ้นในประเทศนั้น เปิดเผยให้ฟัง
ทางลิเบียนั้นมีความรู้สึกผูกพันใกล้ชิดกับการต่อสู้ของฝ่ายซีเรีย ฮาเมดา อัล-มาเกรี (Hameda al-Mageri) จาก สภาการทหารตริโปลี (Tripoli Military Council) ระบุ
สภาการทหารตริโปลีนี้ ถือเป็นผลงานของ อับเดลฮาคิม เบลฮัดจ์ บุรุษเหล็กแห่งขบวนการอิสลามิสต์ในลิเบีย
เบลฮัดจ์ คือกำลังสำคัญภายในลิเบียของพวกรัฐอ่าวอาหรับ --บางทีถ้าหากจะใช้คำว่าเป็น “ตัวแทน” ของรัฐเหล่านี้ ก็ดูจะไม่ใช่ถ้อยคำที่รุนแรงเกินไปแต่อย่างใด เมื่อเร็วๆ นี้ เขาเห็นว่าเป็นเรื่องเหมาะควรที่จะออกคำแถลง “ปฏิเสธแบบไม่ได้ปฏิเสธจริง” ฉบับหนึ่ง (ดูรายละเอียดได้ที่ http://www.tripolipost.com/articledetail.asp?c=1&i=7317&archive=1) ซึ่งกล่าวถึงข่าวที่ว่ากาตาร์ได้จัดส่งอาวุธยุทโธปกรณ์จำนวน 9 ลำเครื่องบินมายังกรุงตริโปลี เพื่อให้กองกำลังอาวุธของเขาใช้โดยเฉพาะ
เบลฮัดจ์ได้ปฏิเสธไม่ยอมรับตำแหน่งในคณะรัฐมนตรีลิเบียชุดใหม่ สืบเนื่องจากฝ่ายตะวันตกแสดงความไม่สบายใจ ถ้าหากจะมีผู้ซึ่งปรากฏสีสันเป็นพวกอิสลามิสต์เด่นๆ แม้แต่คนเดียวเข้าไปมีส่วนอยู่ในรัฐบาลใหม่ สำหรับเก้าอี้รัฐมนตรีกลาโหมซึ่งตอนแรกทำท่าจะเป็นของ เบลฮัดจ์ นั้น ในที่สุดแล้วก็ตกเป็นของผู้แทนคนหนึ่งจากเมืองซินตัน (Zintan) ซึ่งประสบความสำเร็จในการอาศัยเรื่องที่ท้องถิ่นของเขายังคงเป็นสถานที่กักกันตัว ซาอิฟ กัดดาฟี (Saif Qaddafi บุตรชายคนหนึ่งของ พ.อ.มูอัมมาร์ กัดดาฟี อดีตผู้นำของลิเบีย) มาเป็นหมากต่อรอง ถึงแม้เรื่องการกักขังดังกล่าวจะได้ดำเนินมาอย่างยืดเยื้อยาวนานและเป็นที่น่าสงสัยข้องใจ ทั้งนี้เห็นจะต้องบอกว่า กรณีการต่อรองตำแหน่งรัฐมนตรีกลาโหมคราวนี้ สมควรเป็นตัวอย่างหนึ่งที่สาธิตให้เห็นการยื่นหมูยื่นแมวอันน่าประทับใจของระบบประชาธิปไตยใหม่ในลิเบีย
ถึงแม้ไม่ได้อยู่ในคณะรัฐบาล แต่มันก็ทำให้ในเวลานี้ เบลฮัดจ์ มีโอกาสที่จะวางฐานะของตนเองให้เป็นตัวป่วนในซีเรีย ซึ่งจะทำให้ได้กำไรงดงาม แถมยังอ้างได้ด้วยว่ากระทำไปในฐานะเป็นตัวแทนของพวกรัฐอ่าวอาหรับ ตลอดจนเป็นตัวแทนการต่อต้านปฏิวัติชีอะห์/การต่อต้านปฏิวัตอิหร่านของรัฐเหล่านี้ (อีกทั้งบางทีอาจจะค่อยๆ ทำให้เงาร่างของ เบลฮัดจ์ ตลอดจนกลุ่มนักรบฮึกห้าวผ่านการฝึกหนักจำนวนหนึ่งของเขา หายไปจากถนนหนทางในกรุงตริโปลี ซึ่งน่าจะทำให้ผู้คนจำนวนมากรู้สึกสบายอกสบายใจมากขึ้น)
มีเรื่องเกร็ดขำๆ อยู่เรื่องหนึ่งที่น่าจะพูดถึงเหมือนกัน นั่นคือ ในขณะที่ เบลฮัดจ์ ดูเหมือนกำลังอยู่ระหว่างเดินทางไปเข้าร่วมการประชุมลับที่อิสตันบุลตามที่กล่าวถึงข้างต้น ปรากฏว่าเขาได้ถูกลูบคมอย่างฉันมิตรที่สนามบินจากมิตรสหายชาวซินตันของเขา หนังสือพิมพ์ท้องถิ่นในลิเบียได้รายงานว่าเขาถูกควบคุมตัวเอาไว้เป็นระยะเวลาสั้นๆ โดยที่มีเว็บไซต์โปรกัดดาฟีแห่งหนึ่ง (พวกโปรกัดดาฟียังมีอยู่หรือนี่!!) บรรยายว่า (ดูรายละเอียดได้ที่ https://rictvagencianoticias.wordpress.com/2011/11/24/%E2%80%8E241111-tripoli-airport-hakim-belhadj-arrested-with-a-false-passport-and-false-name/ ) เรื่องนี้ดูเหมือนจะมีเงินจำนวนมากเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ทั้งนี้เนื้อหาสำคัญของรายงานดังกล่าว มีดังนี้:
กองพันของนักรบจากซินตัน ได้จับกุมเขา(เบลฮัดจ์) ภายหลังตรวจพบว่า หนังสือเดินทางของเขาออกโดยเจ้าหน้าที่รับผิดชอบซึ่งไม่ถูกต้อง อีกทั้งชื่อเจ้าของหนังสือเดินทางก็เป็นชื่อปลอม
ภายหลังการจับกุมแล้ว นักรบกบฏเหล่านี้ก็ได้รับโทรศัพท์จาก มุสตาฟา อับดุล จาลิล (Mustafa Abdul Jalil) ประธานคณะมนตรี (ชื่อตำแหน่งเต็มๆ คือ ประธานคณะมนตรีระยะผ่านแห่งชาติลิเบีย Chairman of the National Transitional Council of Libya หรือก็คือประมุขแห่งรัฐลิเบียในทางพฤตินัย ดูรายละเอียดได้ที่ http://en.wikipedia.org/wiki/Mustafa_Abdul_Jalil) ขอร้องให้นักรบซินตันเหล่านี้ตลอดจนเจ้าหน้าที่ ในสนามบินตริโปลี อนุญาตให้ ฮาคิม เบลฮัดจ์ เดินทางออกนอกประเทศได้ ทั้งนี้ในการนี้ได้มีการค้นพบเงินก้อนใหญ่อยู่ภายในกระเป๋าของ คูวาอิลดี เบลฮัดจ์ (Khuwaildi Belhadj) ด้วย
เรือแห่งการปฏิวัติประชาธิปไตยได้แล่นหายลับไปเสียแล้ว สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในทุกวันนี้คือการก่อกบฎด้วยกำลังรุนแรงซึ่งมีต่างชาติคอยสนับสนุน
ฝ่ายจีนและฝ่ายรัสเซียมีสายตาอันแจ่มชัดและเข้าอกเข้าใจสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นเป็นอย่างดี
ถึงแม้สาธารณรัฐประชาชนจีนกำลังลังเลใจไม่ปรารถนาที่จะออกโรงปกป้องซีเรียให้มากเกินไป เนื่องจากเกรงว่าจะเป็นสร้างความไม่พอใจให้แก่ซาอุดีอาระเบีย ผู้เป็นซัปพลายเออร์น้ำมันรายใหญ่ที่สุดของตน
แต่สำหรับมอสโก ซึ่งมีผลประโยชน์อันแท้จริงอยู่ในการจับมือเป็นพันธมิตรกับอิ หร่าน อีกทั้งมีความห่วงใยเกี่ยวกับชะตากรรมของระบอบปกครองอัสซาด ดังนั้นจึงไม่มีอาการหวั่นเกรงอะไรเช่นนั้นเลย
พาดหัวข่าวของ อาร์ไอเอ โนโวสตี (RIA Novosti) ที่ผมคัดสรรมาจำนวนหนึ่ง น่าจะช่วยให้เกิดไอเดียว่า การตอบสนองแบบพหุภาคีในเรื่องว่าด้วยซีเรีย ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความรับผิดชอบด้วยนั้น สมควรที่จะออกมาเช่นไร (ช่างตรงกันข้ามกับการพาดหัวข่าวแบบเร่งรีบเห็นดีเห็นงามกับวิธีใช้กำลังทหาร ซึ่งถูกปล่อยออกมาโดยกลุ่มพลังต่อต้านต่อต้านอิหร่านทั่วโลก ด้วยความมุ่งหมายที่จะปกปิดอำพรางความล้มเหลวของ “การปฏิวัติสี” color revolution อย่างสันติในคราวนี้) เป็นต้นว่า:
ซีเรียยินดีให้รัสเซียเป็นคนกลางในการเจรจาปรองดอง (http://sputniknews.com/russia/20111128/169122393.html)
รมว.ต่างปท.รัสเซียแนะฝ่ายค้านซีเรีย ไม่ควรคว่ำบาตรการปฏิรูป (http://sputniknews.com/world/20111117/168795868.html)
มอสโกเรียกร้องสันนิบาตอาหรับให้ทำงานเพื่อสันติภาพในซีเรีย (http://sputniknews.com/russia/20111117/168777782.html)
แน่นอนเลยครับ ข้อเรียกร้องตามพาดหัวข่าวเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นมาเลยสักอย่างเดียว
เพื่อตอบคำถามที่ว่าทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้จะไปจบลงที่ไหน ผมขออนุญาตพูดถึงจุดปิดเกมที่กำลังทวีความเป็นไปได้มากขึ้นทุกที โดยหยิบยกทัศนะความเห็นบางตอนของ เอ็ม เค ภัทรกุมาร (M K Bhadrakumar) ผู้สมควรแก่การเคารพยกย่อง ในข้อเขียนเรื่อง “ตุรกีพร้อมแล้วที่จะรุกรานซีเรีย” (Turkey is ready to invade Syria) ของเขา ซึ่งเผยแพร่ทั้งในเอเชียไทมส์ออนไลน์ และในบล็อกส่วนตัว “Indian Punchline” ของเขา (ดูรายละเอียดได้ที่ http://blogs.rediff.com/mkbhadrakumar/2011/11/29/turkey-is-ready-to-invade-syria/) ดังนี้:
ตุรกีและเหล่าพันธมิตรชาติตะวันตกของเขา กำลังเปลี่ยนโฉมแปลงร่างนักรบชาวลิเบีย ที่พวกเขาฝึกสอนและประกอบอาวุธให้เพื่อโค่นล้ม มูอัมมาร์ กัดดาฟี (Muammar Gaddafi) เพื่อให้เข้าไปปฏิบัติการในซีเรีย เวลานี้มี “อาสาสมัคร” ชาวลิเบียราว 600 คนเดินทางเข้าซีเรียแล้ว หนังสือพิมพ์เดลี่ เทเลกราฟ รายงานว่า ได้มีการประชุมหารือลับเมื่อวันศุกร์ในนครอิสตันบุล ระหว่างพวกเจ้าหน้าที่ตุรกี, คณะผู้แทนชาวซีเรียฝ่ายค้าน, และพวกนักรบชาวลิเบีย ทั้งนี้ได้มีการแทรกซึมลักลอบนำเอาอาวุธจำนวนมากจากตุรกีและจอร์แดน เพื่อเข้าไปสร้างเงื่อนไขสำหรับการก่อสงครามกลางเมืองขึ้นในซีเรียมาเป็นเวลาหลายเดือนแล้ว ทว่าครั้งนี้เป็นความเคลื่อนไหวครั้งแรกที่มีการระบุถึง “อาสาสมัคร” ด้วย
ความเคลื่อนไหวเช่นนี้กลายเป็นความจำเป็นขึ้นมา เนื่องจากประสบความล้มเหลวไม่สามารถเกลี้ยกล่อมโน้มน้าวให้ทหารจำนวนมากแปรพักตร์ออกจากกองทัพซีเรีย โดยมีทหารที่ตัดสินใจทำเช่นนั้นเพียงแค่หยิบมือเดียว ตุรกีกับพวกมหาอำนาจตะวันตกกำลังพยายามดิ้นรนอย่างสุดฤทธิ์เพื่อสร้างมายาภาพของกองกำลัง “ชาวซีเรียฝ่ายต่อต้าน” (‘Syrian resistance’ force) ขึ้นมา โดยที่ในเวลาเดียวกันนั้นก็ยังพยายามปกปิดอำพรางไม่ให้ความก้าวร้าวรุกรานอย่างโจ๋งครึ่มของพวกเขาถูกเปิดโปงออกมาอย่างเต็มเหนี่ยว
...
สิ่งต่างๆ ดูเหมือนกำลังบ่ายหน้าไปสู่จุดปะทุเอาจริงๆ สัญญาณที่ชัดเจนที่สุดได้แก่การที่รองประธานาธิบดีโจเซฟ ไบเดน (Joseph Biden) ของสหรัฐฯ กำลังมุ่งหน้าไปยังกรุงอังการา เมืองหลวงของตุรกีในสุดสัปดาห์นี้ (ดูรายละเอียดได้ที่ http://www.todayszaman.com/newsDetail_openPrintPage.action?newsId=264221) นี่เป็นสัญญาณสำคัญมากที่สหรัฐฯกำลังบอกให้ตุรกีเดินหน้าลงมือปฏิบัติการในซีเรียโดยไม่ต้องหวาดหวั่นพรั่นพรึง นอกจากนั้น กษัตริย์อับดุลเลาะห์ (Abdullah) แห่งจอร์แดน ก็เสด็จพระราชดำเนินไปยังอิสราเอล พระราชาธิบดีแห่งจอร์แดนพระองค์นี้ ทรงเป็น “ช่องทางหลังบ้าน” ของซาอุดีอาระเบียในการติดต่อกับอิสราเอล และทรงเป็นพันธมิตรรายสำคัญในภูมิภาคของแวดวงข่าวกรองตะวันตก
ตุรกีเวลานี้กำลังพยายามลิดรอนความหวาดกลัวของตนต่อสิ่งที่ยังไม่ทราบแน่ชัด และกำลังก้าวออกมาแสดงความคิดเห็นอย่างเปิดเผยในเรื่องเกี่ยวกับสถานการณ์ซีเรีย รัฐมนตรีต่างประเทศ อาเม็ต ดาวูโตกลู (Ahmet Davutoglu) ของตุรกี ได้แสดงท่าทีในวันนี้ (ดูรายละเอียดได้ที่ http://www.hurriyetdailynews.com/default.aspx?pageid=438&n=turkey-ready-for-scenario-in-syria-turkish-foreign-minister-2011-11-29) โดยบ่งชี้เป็นครั้งแรกว่า ตุรกีเตรียมพร้อมทุกสิ่งทุกอย่างแล้วในการเข้าทำการรุกรานซีเรีย ทันทีที่ได้รับสัญญาณไฟเขียวจากพวกพันธมิตรฝ่ายตะวันตกของตน เขากล่าวถึงเรื่องนี้ก่อนที่จะมุ่งหน้าไปเข้าร่วมการประชุมร่วมของบรรดารัฐมนตรีต่างประเทศชาติอียู กับคณะผู้แทนของสันนิบาติอาหรับ (ซึ่งที่สำคัญที่สุดย่อมได้แก่ ซาอุดีอาระเบีย และกาตาร์)
วันที่ 29 พฤศจิกายน อันเป็นวันที่ ดาวูโตกลู พูดเรื่องนี้ จะกลายเป็นวันซึ่งมีความสำคัญโดดเด่นน่าจดจำวันหนึ่งในบันทึกประวัติศาสตร์ของสาธารณรัฐตุรกี ซึ่งมี เคมาล อาตาเติร์ก (Kemal Ataturk) เป็นผู้ก่อตั้ง สิ่งที่อาตาเติร์กเคยถือว่าเป็น “เส้นแดง” (red line) ที่จะล่วงล้ำมิได้ ก็คือ ตุรกีจะต้องไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวพัวพันในกิจการของชาวมุสลิมในตะวันออกกลาง ตรงกันข้าม ตุรกีควรที่จะรวมศูนย์ความสนใจไปที่ “การก้าวไปสู่ความทันสมัย” ของตนเอง เห็นได้อย่างชัดเจนว่า รัฐบาลอิสลามิสต์ที่ครองอำนาจอยู่ในตุรกีทุกวันนี้มองเห็นว่า ตุรกีในวันนี้ “ทันสมัย” เพียงพอแล้ว และตอนนี้สามารถที่จะหวนกลับไปกล่าวอ้างสิทธิในมรดกแห่งยุคจักรวรรดิออตโตมัน (Ottoman) ของตนได้อีกครั้งหนึ่งแล้ว
กองทัพตุรกีกำลังจะเคลื่อนพลเข้าไปยังประเทศอาหรับประเทศหนึ่ง –นี่คือจุดหัวเลี้ยวหัวต่อแห่งประวัติศาสตร์ มันเป็นเวลา 1 ศตวรรษมาแล้วหลังจากที่ชาวตุรกีถูกขับไล่ออกมาโดย “การก่อกบฏของชาวอาหรับ” ชะตากรรมกำลังค่อยๆ เล่นตลกกับเราโดยแท้ การก่อกบฏของชาวอาหรับเพื่อต่อต้านตุรกีคราวนั้นได้รับการกระตุ้นยุยงจากอังกฤษ และอังกฤษถึงแม้กลายเป็นมหาอำนาจที่อ่อนแอลงไปมากมหาศาลแล้วในทุกวันนี้ แต่ก็ยังคงแสดงบทบาทอันทรงอิทธิพล –ยกเว้นแต่การที่อังกฤษกำลังสนับสนุนให้ตุรกีหวนกลับเข้าไปในโลกอาหรับอีกครั้ง เมื่อหนึ่งร้อยปีก่อน อังกฤษประสบความสำเร็จในการวางอุบายให้ชาวอาหรับรวมตัวกันเล่นงานตุรกี ทุกวันนี้ ตุรกีกำลังจับมือกับชาวอาหรับบางส่วนที่มีเรื่องไม่พอใจชาวอาหรับอื่นๆ บางคน
นักปฏิวัติชาวซีเรียนั้นอ่อนแอเกินกว่าที่จะสามารถสร้างชาติอย่างที่พวกเขาต้องการได้
พวกเขาจะต้องพยายามอยู่กับรัฐแบบไหนก็ตามทีที่ตุรกี, มหาอำนาจอ่าวอาหรับ, และพวกชาติประชาธิปไตยตะวันตก ตัดสินใจที่จะมอบให้แก่พวกเขา
ปีเตอร์ ลี เป็นนักเขียนที่สนใจเรื่องกิจการเอเชียตะวันออกและเอเชียใต้ ตลอดจนจุดตัดกันระหว่างภูมิภาคเหล่านี้กับนโยบายการต่างประเทศของสหรัฐฯ สามารถอ่านบทความของเขาได้ที่เว็บบล็อกของเขาชื่อ China Matters (http://chinamatters.blogspot.com/)