รอยเตอร์/เอเจนซีส์ – เมื่อวานนี้(8)ประชาชนชาวอเมริกันหลายหมื่นคนเดินขบวนข้ามสะพานเอ็ดมุนด์ เพตตุต( Edmund Pettus Bridge) เซลมา (Zelma) รัฐแอละแบมา รำลึกเหตุการณ์วันอาทิตย์นองเลือด เพื่อสู้เพื่อสิทธิการออกเสียงของแอฟริกันอเมริกันในปี 1965 ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนในประวัติศาสตร์การต่อสู้เพื่อความเท่าเทียมกันของมนุษย์หน้าหนึ่งของสหรัฐฯ ซึ่งยังพบเห็นในปัจจุบันหลังจากการเปิดเผยรายงานเฟอร์กูสัน เมืองที่ตำรวจผิวขาวใช้เงินค่าปรับ และคดีการจับกุมพลเมืองผิวสีซึ่งเป็นประชาชนส่วนใหญ่ของชุมชนเป็นงบประมาณบริหารจัดการเมือง
เมื่อวานนี้(8)ประชาชนชาวอเมริกัน 70,000 คนเดินขบวนข้ามสะพานเอ็ดมุนด์ เพตตุต( Edmund Pettus Bridge) เซลมา(Zelma) รัฐแอละแบมา รำลึกเหตุการณ์วันอาทิตย์นองเลือดซึ่งเกิดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 7 มีนาคม 1965 จากการที่ผู้ประท้วงอย่างสงบในข้อเรียกร้องเพื่อสิทธิเท่าเทียมกันจำนวน 600 คนถูกตำรวจรัฐแอละแบมา และตำรวจท้องที่ใช้กำลังที่มีทั้งกระบองและแก๊สน้ำตาเข้าปราบปรามอย่างหนัก และเป็นความรุนแรงที่ชาวอเมริกันในขณะนั้นคาดไม่ถึงว่าตำรวจสหรัฐฯจะสามารถใช้กระบองกระหน่ำตีผู้เดินขบวนผู้หญิงตัวเล็กๆที่กำลังหมดสติ เช่นเอมิเลีย บอยน์ตัน โรบินสัน (Amelia Boynton Robinson) หนึ่งในผู้นำการเดินขบวนในขณะนั้น และนำมาสู่การเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ไม่ใช้ความรุนแรงกับผู้ประท้วง
บรรยากาศของการเดินขบวนในวันอาทิตย์(8)ต่างจากเมื่อครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา ซึ่งผู้ร่วมเดินขบวนจำนวนมากต่างมีความรู้สึกชื่นมื่นพร้อมร้องเพลง “We Shall Overcome" ในขณะเดินข้ามสะพาน เอ็ดมุนด์ เพตตุต( Edmund Pettus Bridge) ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นเหตุการณ์สะเทือนขวัญ “มีคนจำนวนมากเข้าร่วมการเดินขบวนรำลึกและในขณะเดียวกันก็มีบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความสนุกสนาน และเป็นสิ่งที่ดีมากที่เห็นทุกคนจากทุกสีผิวมาร่วมเดินขบวนรำลึก” หญิงคนหนึ่งในผู้ร่วมฉลองให้สัมภาษณ์กับ CNN สื่อสหรัฐฯ
ซึ่งในบรรดาผู้นำขบวนในการเดินขวนเป็นกลุ่มคนจาก 600 คนที่ได้เข้าร่วมการประท้วงที่สะพานแห่งนี้ในปี 1965 ร่วมกับนักเคลื่อนไหวอื่นที่ร่วมเรียกร้องการปฎิรูปคนเข้าเมืองสหรัฐฯและสิทธิของกลุ่มรักร่วมเพศ
ในวันเสาร์(7)ประธานาธิบดีสหรัฐฯ บารัค โอบามา ได้เดินทางมาที่แห่งนี้เพื่อรำลึกถึงวันประวัติศาสตร์ร่วมกับกลุ่มนักเคลื่อนไหวที่เข้าร่วมกับการประท้วงเซลมา 1965 และได้กล่าวแถลงถึงงานการเคลื่อนไหวสิทธิมนุษยชนที่มีความก้าวหน้ากว่าเดิมแต่ยังไม่เสร็จสิ้นท่ามกลางความตรึงเครียดของคนระหว่างสีผิวในสหรัฐฯ ซึ่งการประกาศของโอบามาออกมาหลังจากที่มีการเผยแพร่รายงานการสอบสวนของกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯภายใต้รัฐมนตรีเจ้ากระทรวงผิวสี อีริค โฮลเดอร์ ที่พบว่า ตำรวจผิวขาวในเฟอร์กูสันใช้ระบบการเลือกเป้าหมายในการจับกุมโดยวิเคราะห์จากสีผิวในเฟอร์กูสันที่ประชาชนส่วนใหญ่เป็นแอฟริกันอเมริกัน และเป็นที่น่าตกใจที่พบว่า จากการรายงานของสถานีวิทยุซานฟรานซิสโก KGO 810 พบว่าตำรวจเฟอร์กูสันที่เกือบทั้งหมดเป็นผิวขาวใช้ “เงินค่าปรับ” ที่ได้จากการจับกุมชาวเฟอร์กูสันซึ่งเป็นพลเมืองส่วนใหญ่ที่มีฐานะยากไร้ในการบริหารงานเมือง
โดยก่อนหน้านี้วอชิงตันโพสต์ สื่อสหรัฐฯ รายงานถึงสถิติที่น่าสนใจจากรายงานเฟอร์กูสันว่า
(1) พลเมืองแอฟริกันอเมริกันเฟอร์กูสันที่มีสัดส่วนถึง 67% ของจำนวนชาวเมืองทั้งหมดต้องพบกับความไม่เท่าเทียมทางกระบวนการยุติธรรมระดับท้องถิ่น จากสถิติพบว่า 85% ของพลเมืองผิวสีเฟอร์กูสันถูกตำรวจจราจรโบกให้หยุด และ 90% ถูกเรียกหยุดเพื่อแจกใบสั่ง ซึ่งในการจับกุมของตำรวจในเมืองเฟอร์กูสันทั้งหมด ผิวสีจากเฟอร์สันถูกจับกุมถึง 93% ในช่วงปี 2012-2014
(2) จากสถิติพบว่า แอฟริกันอเมริกันในเฟอร์กูสันจะถูกตำรวจผิวขาวสั่งให้หยุดและถูกตำรวจค้นรถสูงกว่า 2.07 เท่า แต่กลับกลายว่า น้อยกว่า 26% ที่ตำรวจจะพบสิ่งของผิดกฎหมายในระหว่างการตรวจค้นรถ และพบว่ามากกว่า 2 เท่าที่ชาวผิวสีแห่งเฟอร์กูสันจะได้รับใบสั่ง และมีโอกาสสูงถึง 2.37 เท่าที่จะถูกตำรวจผิวขาวจับกุมในขณะตรวจค้นรถ
(3)ยังพบว่าในการปฎิบัติกับพลเมืองผิวสี ตำรวจผิวขาวแห่งเฟอร์กูสันใช้กำลังและอาวุธ เช่น ปืน และสุนัขตำรวจ ในการจับกุมตรวจค้นในอัตราที่สูงถึง 88% ในคดีทั้งหมดช่วงปี 2010 จนถึงสิงหาคม 2014 และใน 14 คดีที่ได้รับรายงานการใช้กำลัง พบว่าตำรวจเฟอร์กูสันใช้สุนัขตำรวจทำร้าย ผู้ที่วอชิงตันโพสต์ระบุว่าเป็น “แอฟริกันอเมริกัน”
(4) และจากรายงานของกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯยังพบว่า ในเหตุการณ์ที่ถูกตำรวจเรียกให้หยุด มีแนวโน้มสูงว่าพลเมืองเฟอร์กูสันผิวสีซึ่งส่วนใหญ่มีรายได้น้อยจะได้รับใบสั่งหลายใบในการถูกเรียกหยุดครั้งเดียว จากรายงานชี้ว่า คนหนึ่งคนสามารถได้รับใบสั่งถึง 4 ใบหรือมากกว่านั้นในเหตุหยุดตรวจทั้งหมดราว 73 ครั้งตั้งแต่ ตุลาคม 2012 ไปจนถึง กรกฎาคม 2014 แต่ทว่าพลเมืองเชื้อชาติอื่นในเฟอร์กูสันได้รับใบสั่งจำนวนมากกว่า 4 ใบแค่ 2 ครั้งในระยะเวลาเดียวกัน
นอกจากนี้วอชิงตันโพสต์ยังรายงานเพิ่มเติมว่า ในรายงานกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯยังระบุต่อว่า
(5) 95% ของการจับกุมจากการเดินข้ามถนนไม่ถูกกฎจราจรเป็นชาวผิวสีในเฟอร์กูสัน รวมไปถึงมีพลเมืองผิวสีถูกจับกุมเนื่องจากไม่ปฎิบัติตามคำสั่งเจ้าหน้าที่ราว 94% ส่วนพลเมืองผิวดำถูกจับกุม 92% ในการขัดขืนการจับกุมของเจ้าหน้าที่ และ 92% ถูกจับกุมเนื่องจากก่อความไม่สงบ และอีก 89% ถูกจับกุมเนื่องจากไม่ยอมทำตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่
(6) 68% ของคดีคนผิวสีเมื่อขึ้นสู่ชั้นศาลเฟอร์กูสันจะมีแนวโน้มไม่ได้รับการสั่งยกฟ้อง และพบว่าในปี 2012 และ 92% ของคดีทั้งหมดของพลเมืองแอฟริกันอเมริกันในเฟอร์กูสันเป็นคดีที่ต้องออกหมายจับ