เอเอฟพี - นายกรัฐมนตรีโทนี แอ็บบอตต์ แห่งออสเตรเลีย ระบุวันนี้ (5 มี.ค.) ว่า ปฏิบัติการค้นหาเที่ยวบิน MH370 ของสายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์สอาจลดความเข้มข้นลงนับจากนี้ หลังเหตุการณ์ผ่านมาเกือบ 1 ปีโดยที่ทีมค้นหายังไม่พบเศษซากใดๆ ที่จะยืนยันจุดตกของเครื่องบินได้
เครื่องบินโบอิ้ง 777-200 ลำนี้สูญหายไปจากจอเรดาร์เมื่อกลางดึกของวันที่ 8 มีนาคม 2014 ขณะพาผู้โดยสารและลูกเรือรวม 239 ชีวิตออกเดินทางจากกรุงกัวลาลัมเปอร์เพื่อไปยังกรุงปักกิ่ง
“ผมขอยืนยันต่อครอบครัวผู้โดยสารทุกคนว่าเรายังหวังอยู่เสมอว่าการค้นหาครั้งนี้จะต้องสำเร็จ” แอ็บบอตต์แถลงต่อรัฐสภาที่กรุงแคนเบอร์รา
“แต่ผมคงให้สัญญาไม่ได้ว่า ภารกิจค้นหาจะดำเนินต่อไปอย่างเข้มข้นเหมือนที่เคยเป็นมาหรือไม่ แต่เราจะพยายามอย่างดีที่สุดที่จะคลี่คลายปมปริศนา และหาคำตอบบางอย่างให้ได้”
ออสเตรเลียรับบทบาทผู้นำในการค้นหาซากเครื่องบิน MH370 ที่คาดว่าจะจมอยู่ก้นมหาสมุทรอันเวิ้งว้าง ห่างจากชายฝั่งตะวันตกของออสเตรเลียออกไปประมาณ 1,600 กิโลเมตร โดยใช้เรือค้นหา 4 ลำที่ติดตั้งระบบโซนาร์และโดรนใต้น้ำอันทันสมัยทำการสำรวจน่านน้ำ 60,000 ตารางกิโลเมตรที่เป็นเป้าหมายหลักของการค้นหา (priority zone)
อย่างไรก็ดี ปฏิบัติการค้นหาใน priority zone ซึ่งรัฐบาลแคนเบอร์ราและกัวลาลัมเปอร์ร่วมกันควักทุนสนับสนุน 120 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย กำลังจะสิ้นสุดลงในเดือนพฤษภาคมนี้ และล่าสุดทีมค้นหาก็ยังไม่พบอะไรมากไปกว่าตู้คอนเทนเนอร์เก่าๆ 2-3 ตู้จมอยู่ก้นทะเล
สำนักงานความปลอดภัยขนส่งออสเตรเลีย (ATSB) แถลงก่อนหน้านี้ว่า หลังจากภารกิจค้นหาในปัจจุบันสิ้นอายุลง รัฐบาลออสเตรเลียและมาเลเซียจะต้องตัดสินใจอีกครั้งว่าจะยังคงเดินหน้าสืบหาร่องรอยของ MH370 ต่อไปอีกหรือไม่
แอ็บบอตต์ชี้ว่า การสูญหายไปของ MH370 แสดงให้เห็น “จุดอ่อนขั้นพื้นฐานในระบบติดตามเที่ยวบินระยะไกล โดยเฉพาะเที่ยวบินที่ต้องผ่านมหาสมุทรอันกว้างใหญ่”
ออสเตรเลีย มาเลเซีย และอินโดนีเซีย จะริเริ่มทดลองใช้ระบบติดตามรุ่นใหม่ซึ่งตรวจสอบพิกัดเครื่องบินที่อยู่เหนือมหาสมุทรทุกๆ 15 นาที จากเดิมที่จะมีการติดตามเครื่องบินทุกๆ 30-40 นาที
“แม้จะไม่ใช่คำตอบที่สมบูรณ์ แต่ก็เป็นแผนเฉพาะหน้าที่จะช่วยยกระดับการติดตามเครื่องบินได้ทันที ระหว่างที่ทุกฝ่ายคิดค้นวิธีแก้ไขที่ครอบคลุมเพื่อนำมาสู่การปฏิบัติจริง” ผู้นำแดนจิงโจ้ระบุ
“เราต้องหาวิธีการป้องกันเพื่อให้มั่นใจได้ว่า จะไม่มีครอบครัวไหนต้องทนทุกข์ทรมานอย่างครอบครัวของผู้โดยสาร (MH370) อีก”