เอเอฟพี - เกาหลีเหนือยิงทดสอบขีปนาวุธพิสัยใกล้ลงสู่ทะเลเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา (2 มี.ค.) พร้อมประกาศจะถล่มสหรัฐฯ และเกาหลีใต้ “อย่างไม่ปรานี” ขณะที่ปฏิบัติการซ้อมรบร่วมระหว่างวอชิงตันและโซลในปีนี้กำลังจะเปิดฉากขึ้นอย่างเป็นทางการ
โครงการซ้อมรบระหว่างสหรัฐฯ และเกาหลีใต้ได้จุดประกายความตึงเครียดทางทหารและถ้อยคำข่มขู่ที่สร้างความระส่ำระสายบนคาบสมุทรเกาหลีเป็นประจำทุกปี ขณะที่นักวิเคราะห์มองว่า โสมแดงเลือกทดสอบขีปนาวุธในวันนี้ก็เพื่อข่มขู่สองชาติอริ
กองทัพประชาชนเกาหลีเหนือ (เคพีเอ) แถลงเตือนว่า การซ้อมรบระหว่างวอชิงตันและโซลในปีนี้อาจทำให้คาบสมุทรเกาหลี “เสี่ยงเกิดสงคราม”
ด้านกองทัพเกาหลีใต้แถลงว่า ขีปนาวุธโสมแดงซึ่งมีพิสัยเดินทางราว 500 กิโลเมตรถูกยิงออกจากเมืองท่านัมโปทางตะวันตก และพุ่งข้ามประเทศไปตกลงที่นอกชายฝั่งทางตะวันออก
การทดสอบจรวดเป็นวิธีที่เปียงยางมักใช้แสดงออกซึ่งความโกรธเกรี้ยวต่อพฤติกรรมของเกาหลีใต้และชาติพันธมิตรที่ผู้นำโสมแดงมองว่า “ยั่วยุ” ให้เกิดสงคราม
“สถานการณ์บนคาบสมุทรเกาหลีเสี่ยงที่จะเกิดสงครามอีกครั้ง... หนทางเดียวที่จะจัดการกับความก้าวร้าวและสงครามที่พวกคลั่งจักรวรรดินิยมในสหรัฐฯ และสมุนของพวกเขาก่อขึ้น ไม่ใช่การเจรจาหรือสันติภาพ แต่ต้องตอบโต้ด้วยการโจมตีแบบไม่ปรานีปราศรัย” สำนักข่าวเคซีเอ็นเอของเกาหลีเหนืออ้างถ้อยแถลงจากโฆษกเคพีเอ วันนี้ (2)
แม้เกาหลีเหนือจะเคยขู่โจมตีสหรัฐฯ ด้วยอาวุธนิวเคลียร์มาแล้ว แต่ยังไม่ได้พิสูจน์ให้โลกเห็นว่าพวกเขามีเทคโนโลยีจรวดที่ก้าวหน้าถึงขั้นโจมตีแผ่นดินใหญ่สหรัฐฯ ได้จริง
ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่เชื่อว่าเปียงยางน่าจะมีอาวุธนิวเคลียร์อยู่ในคลังแสงประมาณ 10-16 ลูก โดยผลิตจากพลูโตเนียมหรือไม่ก็ยูเรเนียมเกรดอาวุธ
สถาบันสหรัฐฯ-เกาหลี มหาวิทยาลัยจอห์นฮอปกินส์ เพิ่งเผยแพร่ผลวิจัยล่าสุดที่ประเมินว่า เกาหลีเหนืออาจจะผลิตอาวุธนิวเคลียร์ได้ถึง 100 ลูกภายในปี 2020
การซ้อมรบภายใต้รหัส “โฟล อีเกิล” ซึ่งถือเป็นส่วนสำคัญในภารกิจฝึกซ้อมประจำปีระหว่างกองทัพสหรัฐฯ และเกาหลีใต้ จะเปิดฉากขึ้นในวันนี้ (2) โดยมีทหารโสมขาวราว 200,000 นาย และทหารอเมริกัน 3,700 นายร่วมกันฝึกซ้อมยุทธวิธีทั้งทางบก อากาศ และทะเล ต่อเนื่องเป็นเวลา 8 สัปดาห์ ส่วนภารกิจ “คีย์ รีโซล์ฟ” ซึ่งเป็นการซ้อมรบจำลองด้วยระบบคอมพิวเตอร์จะกินเวลาราว 1 สัปดาห์