เอเอฟพี - กลุ่มติดอาวุธ “รัฐอิสลาม” (ไอเอส) ใช้ทั้งค้อนและเครื่องเจาะหินทำลายวัตถุโบราณที่ประเมินค่ามิได้ในเมืองโมซุลของอิรัก ทั้งนี้ตามคลิปวีดีโอที่นักรบญิฮาดกลุ่มนี้นำออกเผยแพร่ในวันพฤหัสบดี (26 ก.พ.)
ความเสียหายที่เกิดขึ้นได้จุดประกายให้เกิดความตกตะลึง และหวาดวิตกไปทั่ว โดยนักโบราณคดี และผู้เชี่ยวชาญด้านมรดกทางวัฒนธรรมบางส่วนถึงกับเปรียบเทียบสิ่งที่เกิดขึ้นในโมซุล กับเหตุการณ์เมื่อในปี 2001 เมื่อครั้งที่กลุ่มติดอาวุธ “ตอลิบาน” ทำลายพระพุทธรูปแห่งบามิยัน ในอัฟกานิสถาน
ทันทีที่คลิปนี้ปรากฏออกมา องค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) ก็ออกมาเรียกร้องให้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติจัดการประชุมฉุกเฉิน พร้อมกับชี้ว่า การปกป้องมรดกทางวัฒนธรรมถือเป็นภารกิจหนึ่งที่สำคัญ ของหน่วยงานความมั่นคงในอิรัก
คลิปวีดีโอดังกล่าวเผยให้เห็นสมาชิกกลุ่มติดอาวุธไอเอส โค่นฐานเสาหิน และรื้อทำลายข้าวของที่จัดแสดงในพิพิธภัณฑ์โมซุล รวมทั้งโบราณวัตถุสมัยจักรวรรดิอัสซีเรีย และสมัยเฮลเลนิสติก ซึ่งสร้างขึ้นในช่วงหลายร้อยปีก่อนคริสตกาล
นอกจากนี้ คลิปดังกล่าวยังถ่ายถอดวินาทีที่กลุ่มนักรบญิฮาดใช้ค้อนทุบทำลายรูปปั้นกระทิงมีปีกที่แกะสลักจากหินแกรนิตในสมัยจักรวรรดิอัสซีเรีย ตรงประตูเนอร์กัล ของเมืองโมซุล
สมาชิกไอเอสไว้เคราคนหนึ่งหันมาทางกล้องแล้วบอกว่า “ชาวมุสลิมทั้งหลาย วัตถุโบราณเหล่านี้ที่อยู่ด้านหลังคือรูปเคารพที่คนในสมัยโบราณบูชากราบไหว้แทนพระเจ้า”
“ชนชาติที่เรียกว่าอัสซีเรีย อัคคาเดีย และอื่นๆ มีเทพเจ้าแห่งฝน การเพาะปลูก สงคราม... และพวกเขาจะพยายามใกล้ชิดเทพเหล่านี้ด้วยการมอบเครื่องเซ่นสังเวย” เขาว่า
“ศาสดาได้เคลื่อนย้ายรูปเคารพไปฝังในนครเมกกะด้วยมือศักดิ์สิทธิ์ของเขา” ชายคนดังกล่าวอ้างถึงศาสดาโมฮัมหมัดของชาวมุสลิม
ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า ในหมู่สิ่งของที่ถูกทำลายนั้นมีทั้งวัตถุโบราณดั้งเดิม และชิ้นส่วนแตกหักที่ผ่านการบูรณปฏิสังขรณ์ และรูปจำลอง
โธมัส แคมป์เบล ผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์ศิลปะเมโทรโพลิแทน อันมีชื่อเสียงของนิวยอร์กประณามว่าเป็น “การทำลายพิพิธภัณฑ์ที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งในตะวันออกกลางให้พังพินาศย่อยยับ”
วัตถุโบราณที่ถูกทำลายเหล่านี้ เป็นของที่มาจากจักวรรดิอัสซีเรีย และเมืองโบราณฮัทรา ในทะเลทราย ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากเมืองโมซุลไปทางตะวันตกเฉียงใต้ราว 100 กิโลเมตร
*** ไม่ต่างไปจากการทำลายพระพุทธรูปบามิยัน ***
อย่างไรก็ตามชะตากรรมของพิพิธภัณฑ์อิสลามแห่งนี้ยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด
ชาร์ลส์ อี โจนส์ บรรณารักษ์และนักวิชาการจากมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย ซึ่งทำหน้าที่ปกป้องมรดกทางวัฒนธรรมอิรักมานาน 4 ปีเปรียบเปรยว่า “สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ไม่ต่างไปจากการทำลายพระพุทธรูปแห่งบามิยันเลย”
ผู้เห็นเหตุการณ์และนักวิชาการเล่าว่า วานนี้ (26) นักรบไอเอสได้ระเบิดมัสยิดคุดร์ใจกลางเมืองโมซุล ซึ่งเป็นศาสนาสถานที่เก่าแก่มาตั้งแต่ศตวรรษที่ 12
อิห์ซาน เฟธี อาจารย์ชาวอิรัก ซึ่งสอนวิชาสถาปัตยกรรมอยู่ที่กรุงอัมมาน ของจอร์แดน ได้พรรณนาสิ่งที่เกิดขึ้นว่าเป็น “ความเสียหายอย่างร้ายแรง และการก่อการร้ายทางวัฒนธรรมที่เหลือเชื่อ”
กลุ่มนักรบญิฮาดไอเอส ได้เข้ายึดโมซุล ซึ่งเป็นเมืองใหญ่อันดับสองของอิรักได้ ระหว่างเริ่มบุกครองพื้นที่อันกว้างใหญ่ในอิรัก เมื่อเดือนมิถุนายน ปีที่แล้ว จากนั้นก็ลงมือทำลายสถานที่ซึ่งเป็นมรดกทางวัฒนธรรม รวมทั้ง ศาสนสถานของชาวมุสลิมนิกายสุหนี่หลายต่อหลายแห่ง ตามแผนการที่เตรียมไว้
ทั้งนี้ เมืองโมซุลเป็นถิ่นที่อยู่ของชนกลุ่มน้อยหลากหลายชาติพันธุ์ เป็นต้นว่า ชาวคริสต์อัสซีเรีย ที่มองว่าตนเองเป็นชนท้องถิ่นของเมืองโมซุล
เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ นักรบไอเอสได้บุกยึดหมู่บ้านหลายแห่งของชาวอัสซีเรีย และลักพาตัวชาวบ้านไปอย่างน้อย 220 คน