เอเอฟพี - บอสใหญ่ของโซนี่ระบุในวันนี้ (18 ก.พ.) เกี่ยวกับแผนการที่จะทำให้บริษัทพ้นจากตัวเลขสีแดง ว่าจะมีการแยกส่วนธุรกิจเพิ่มมากขึ้นเพื่อให้แต่ละส่วนดำเนินธุรกิจด้วยตัวเอง โดยคาดว่าบริษัทแม่จะมีกำไรจากการดำเนินงาน 500 พันล้านเยน (ราว 1.3 แสนล้านบาท) ในอีก 3 ปี
คาซุโอะ ฮิราอิ ผู้กุมบังเหียนการปรับโครงสร้างของบริษัทอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ยักษ์ใหญ่สัญชาติญี่ปุ่นรายนี้ได้ออกมาแสดงความเห็นดังกล่าว หลังจากที่โซนี่ได้เคยประกาศไว้ก่อนหน้านี้ว่าได้ขายธุรกิจคอมพิวเตอร์แล็ปท็อปและโยนธุรกิจโทรทัศน์ที่ย่ำแย่ไปอยู่ภายใต้การดูแลของบริษัทลูก
เขาได้บอกในระหว่างการสรุปยุทธศาสตร์การดำเนินงานว่า บรรดาธุรกิจที่จะถูกแยกส่วนออกจากบริษัทแม่เป็นรายต่อไปคือ แผนกออดิโอ/วิดีโอ ซึ่งจะรวมถึงเครื่องเล่นแผ่นบลูเรย์ดิสก์ กับพวกเครื่องเล่นเพลงแบบพกพา ส่วนที่มีการแยกออกไปแล้วก็จะสามารถดำเนินงานด้วยตนเองได้มากขึ้น
“ผู้นำของแต่ละภาคส่วนธุรกิจจะได้รับการส่งเสริมให้มีโอกาสเป็นผู้ริเริ่ม สำหรับการตัดสินใจเกี่ยวกับตัวเลือกต่างๆ ในอนาคต อาทิ ความสัมพันธ์ทางธุรกิจกับบริษัทอื่นๆ เปลี่ยนแปลงพอร์ตธุรกิจของตนเอง การซื้อกิจการและการขายกิจการ ฯลฯ” ฮิราอิ บอกกับนักข่าว
“เซ็นเซอร์ภาพ เกม เพลง และภาพยนตร์ จะเป็นตัวขับเคลื่อนการเติบโตของบริษัท” ฮิราอิ กล่าวเสริม
โซนี่ได้หันมาเน้นให้ความสำคัญกับธุรกิจประเภทที่มีกำไร อย่างเช่น เซ็นเซอร์ภาพที่ถูกนำไปใช้กับกล้องถ่ายรูปบนสมาร์ทโฟน หลังจากที่เคยมีรายงานว่าบริษัทขาดทุนอย่างหนัก จนต้องมีการปรับโครงสร้างขนานใหญ่ ซึ่งรวมถึงการเลิกจ้างพนักงานและการขายสำนักงานใหญ่ในแมนฮัตตัน
ก่อนหน้านี้ บริษัทที่เคยรุ่งโรจน์และเป็นที่รู้จักจากแบรนด์ “วอล์กแมน” และ “เพลย์สเตชัน” อย่างโซนี่เพิ่งบอกว่าจะเลิกจ้างพนักงานอีก 1,100 รายในธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ หลังจากที่เคยประกาศลอยแพไปแล้ว 1,000 ราย แถมยังคาดว่าภาพรวมจะขาดทุน 170 พันล้านเยนในปีงบประมาณล่าสุด โดยมีกำไรในส่วนของการดำเนินงานอยู่ที่ 20 พันล้านเยน
อย่างไรก็ตาม ในวันนี้ทางโซนี่ได้คาดว่ากำไรจากการดำเนินงานในปีงบประมาณที่จะสิ้นสุดช่วงเดือนมีนาคม 2018 น่าจะมีมากกว่า 500 พันล้านเยน อันจะเป็นผลจากการแยกส่วนธุรกิจให้ดำเนินงานได้ด้วยตนเองมากขึ้น
ที่ผ่านมา โซนี่ต้องดิ้นรนอย่างหนักในธุรกิจอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งเคยเป็นตัวสร้างชื่อให้บริษัท หนึ่งในปัญหาที่ต้องเจอก็คือการขาดทุนอย่างหนักในธุรกิจโทรทัศน์ตลอดช่วงทศวรรษที่ผ่านมา เพราะประสบกับการแข่งขันอย่างรุนแรงจากคู่แข่งที่มีต้นทุนถูกกว่า
