เอพี - วานนี้ (7 ก.พ.) ผู้เชี่ยวชาญด้านนิติเวชวิทยาจากอาร์เจนตินาได้ตั้งข้อสงสัยถึงแนวทางการสืบสวนกรณีการหายตัวไปของนักศึกษาชาวเม็กซิโก 43 คน โดยชี้ว่า หลักฐานที่พบไม่ได้สนับสนุนข้อสรุปของรัฐบาลแดนจังโก้ที่ว่าวัยรุ่นกลุ่มนี้ถูกคนร้ายสังหารก่อนจะนำศพไปเผาจนกลายเป็นเถ้าถ่าน
ทีมสืบสวนจากบัวโนสไอเรสซึ่งครอบครัวของนักศึกษาที่สูญหายไปร่วมกันว่าจ้างให้เป็นองค์กรอิสระเข้าสืบสวนคดีนี้ ได้ออกคำแถลงระบุถึงประเด็นต่างๆ ที่ดูขัดแย้งในคดีนี้ ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่อาร์เจนตินาสามารถเข้าถึงหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ และสถานที่เกิดอาชญากรรมได้พร้อมกับอัยการกลาง และเจ้าหน้าที่นิติเวชเม็กซิโก
คำแถลงฉบับดังกล่าวชี้ว่า รัฐบาลเม็กซิโกได้เสนอผลการวิเคราะห์หลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ ที่ลำเอียงเข้าข้างข้อสรุปของตัวเองที่ว่า ศพของนักศึกษากลุ่มนี้ถูกนำไปเผาเป็นเถ้าถ่านในเมืองโคคูลา ในรัฐเกร์เรโร ทางตอนใต้ของแดนจังโก้ แล้วคนร้ายโยนเถ้ากระดูกลงแม่น้ำเพื่อทำลายหลักฐาน ทว่า จนกระทั่งตอนนี้เจ้าหน้าที่สามารถพิสูจน์อัตลักษณ์จากซากศพที่ไหม้เป็นตอตะโกในแม่น้ำว่า ตรงกับดีเอ็นเอของนักศึกษาที่หายไปเพียงรายเดียวเท่านั้น
คณะผู้เชี่ยวชาญระบุในคำแถลงว่า ทีมสืบสวน “ขอเน้นย้ำว่า เราไม่ได้ตัดความเป็นไปได้ที่ว่า อาจมีนักศึกษาบางคนอาจประสบชะตากรรมดังที่อัยการว่าไว้จริง แต่เราคิดว่า ยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่สนับสนุนได้ว่านักศึกษากลุ่มนี้กลายเป็นศพในบ่อขยะเมืองโคคูลา”
ทางด้าน สำนักงานอัยการสูงสุดเม็กซิโกยังไม่ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นถึงคำแถลงของเจ้าหน้าที่อาร์เจนตินา จากองค์กรนิติวิทยาศาสตร์ไม่แสวงหากำไร ที่รับสืบสวนการละเมิดสิทธิมนุษยชนทั่วโลก ทั้งนี้ องค์กรดังกล่าวก่อตั้งขึ้นมาในปี 1984 เพื่อสืบสวนคดีการหายตัวไปของบุคคลอย่างน้อย 9,000 ราย ในช่วงที่อาร์เจนตินาตกอยู่ใต้การปกครองของระบอบเผด็จการระหว่างปี 1976 ถึง 1983
เมื่อวันที่ 27 มกราคมที่ผ่านมา เฮซุส มูริโย การัม อัยการสูงสุดเม็กซิโกชี้ว่า จากหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ พยานมากมาย และรายงานจากผู้เชี่ยวชาญที่มีอยู่ในมือในขณะนี้ ทำให้เชื่อได้ว่าเมื่อวันที่ 27 กันยายน ปีที่แล้ว ตำรวจในท้องที่ได้เข้ารวบตัววัยรุ่นที่หายไปในเมืองอิกัวลา ก่อนจะส่งตัวพวกเขาให้แก่ขบวนการค้ายาเสพติด “เกร์เรโรส อูนิโดส” ซึ่งเป็นผู้ลงมือสังหารเหยื่อ จากนั้นได้นำศพไปสุมไฟเผา แล้วโยนเถ้ากระดูกทิ้งแม่น้ำเพื่อทำลายหลักฐานในวันต่อมา
องค์กรมายหลายทั้งในแดนจังโก้ และต่างประเทศต่างแสดงความกังขาในข้อสรุปของอัยการ โมริโย โดยพวกเขาคิดว่า เป็นไปไม่ได้ที่การเผาไหม้ในที่โล่งแจ้งจะทำให้เกิดอุณหภูมิสูงจนทำให้ร่างผู้เสียชีวิตถึง 43 รายกลายเป็นเถ้าถ่านได้เหมือนกับการฌาปนกิจในเตาเผา
คำแถลงของทีมสืบสวนอาร์เจนตินาระบุว่า พบหลักฐานจากดาวเทียมว่า นับตั้งแต่ปี 2010 ได้เกิดไฟไหม้บริเวณที่ทิ้งขยะ ซึ่งเป็นจุดเกิดเหตุมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง เจ้าหน้าที่ชุดนี้ตรวจพบซากศพในบ่อขยะที่ไม่ใช่ของนักศึกษาที่หายไป รวมทั้งฟันปลอมซี่หนึ่ง ในขณะที่ไม่มีนักศึกษาคนใดที่หายไปสวมฟันปลอม
นอกจากนี้ ทีมสืบสวนอาร์เจนตินายังตั้งข้อสังเกตว่า สำนักงานอัยการสูงสุดเม็กซิโกได้ทำกระทำผิดพลาดต่อแบบแผนสารทางพันธุกรรม (Genetic profiles) ที่ได้จากสมาชิกในครอบครัวของนักศึกษาทั้ง 43 คน จึงทำให้ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่า ดีเอ็นเอเหล่านี้ตรงกับร่างผู้เสียชีวิตในบ่อขยะ ที่กลายเป็นหลุมฝังศพหมู่หรือไม่ นอกจากนี้สำนักงานอัยการสูงสุดยังละเลยไม่ปิดกั้นบ่อขยะ ซึ่งเป็นสถานที่เกิดเหตุสำคัญ จากบุคคลภายนอกเป็นเวลานาน จึงอาจเปิดช่องให้คนร้ายอาจเข้าไปทำลายหลักฐาน หรือสร้างพยานหลักฐานเท็จได้
เกิดอาชญากรรมที่โคคูลาอีกครั้งวานนี้ (7) เมื่อมีผู้ถูกลักพาตัวไปอย่างน้อย 12 คนจากเทศบาลโคคูลา แต่ยังไม่ทราบจำนวนเหยื่อที่ถูกจับตัวไปอย่างแน่ชัด และยังไม่แน่ว่า ในหมู่ผู้ที่สูญหายไปนั้นมีคนงานของบริษัทแคนาดา ที่เข้ามาขุดเหมืองทองคำในโคคูลารวมอยู่ด้วยด้วยหรือไม่