เอเจนซีส์ - ผู้นำกบฏโปรรัสเซียประกาศลั่นในวันจันทร์ (2 กพ.) ว่าจะเรียกระดมนักรบให้ได้ 100,000 คน เพื่อการรุกใหญ่ระลอกล่าสุดในยูเครนตะวันออก ขณะเดียวกัน ทางด้านหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์รายงานว่า สหรัฐฯกำลังชั่งใจเตรียมจัดส่งอาวุธให้แก่ฝ่ายรัฐบาลยูเครน หลังจากข้อตกลงหยุดยิงล่มลงอย่างไม่เป็นท่าเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา
การลั่นปากแสดงความปรารถนาอันทะเยอทะยานยิ่งเช่นนี้ นับเป็นการเพิ่มระดับความตึงเครียดของสงครามความขัดแย้งในดินแดนภาคตะวันออกของยูเครน ซึ่งดำเนินยืดเยื้อมานาน 9 เดือน และทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 5,100 คน อีกทั้งบังเกิดขึ้นในขณะที่กองกำลังฝ่ายกบฎกำลังเปิดศึกเข้าล้อมเมืองเดบัลต์เซเบ ซึ่งเป็นศูนย์คมนาคมแห่งสำคัญ
ตามรายงานของสำนักข่าวของฝ่ายกบฏ อเล็กซานเดอร์ ซาคาร์เชนโก ผู้นำกลุ่มกบฎในจังหวัดโดเนตสก์ที่ประกาศตนเป็นสาธารณรัฐประชาชนโดเนตสก์ ประกาศว่า จะเรียกระดมพลให้มาเข้าร่วมด้วยความสมัครใจให้ได้ 100,000 คนภายในเวลา 10 วัน ทั้งนี้เขาไม่ได้แจงรายละเอียดว่าจะเรียกระดมผู้คนมากมายขนาดนี้ได้ด้วยวิธีใด รวมทั้งในบางตอนยังพูดสับสนว่า จำนวน 100,000 คนดังกล่าวจะเป็นกองทัพร่วมของโดเนตสก์ และลูกานสก์ ซึ่งเป็นจังหวัดที่อยู่ติดกัน และประกาศแยกตัวจากยูเครนและจัดตั้งเป็นสาธารณรัฐประชาชนอีกแห่งหนึ่งเช่นกัน
เขาแจกแจงว่า กำลังที่ระดมมาเหล่านี้จะได้รับการฝึกฝนเป็นเวลา 1 เดือน ด้วยจุดมุ่งหมายที่จะจัดเป็นกำลังรบเพิ่มเติม 5 กองพลน้อย
ก่อนหน้านี้ รัฐบาลยูเครนก็ได้ประกาศแผนการเพิ่มกำลังทหารของตนในภาคตะวันออก และจะเกณฑ์ทหารเป็นจำนวน 200,000 คนในปี 2015 นี้
เดวิด สเติร์น ผู้สื่อข่าวในกรุงเคียพฟของบีบีซี ให้ความเห็นว่า คำแถลงของ ซาคาร์เชนโก นี้ อาจจะเป็นเพียงคำคุยโตทางการเมือง หรือไม่ก็อาจเป็นเครื่องบ่งชี้ว่ารัสเซียกำลังวางแผนเข้าแทรกแซงอย่างใหญ่โตยิ่งขึ้นในยูเครนตะวันออก
บีบีซียังอ้างคำพูดของ คริสโตเฟอร์ มิลเลอร์ นักหนังสือพิมพ์ที่ตั้งฐานอยู่ใกล้ๆ เมืองเดบัลต์เซเบ ว่า พวกกบฏคงไม่สามารถระดมกำลังคนได้ถึง 1 แสนคนหรอก แต่การออกมาประกาศเช่นนี้น่าจะเป็นการสร้างฉากกำบังอำพราง “อาสาสมัครชาวรัสเซีย” ซึ่งจะเข้ามาเพิ่มขึ้นมากกว่า
ขณะเดียวกัน การสู้รบในยูเครนตะวันออก ซึ่งเป็นย่านอุตสาหกรรมของประเทศ กำลังทวีความรุนแรงขึ้นในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา โดยเจ้าหน้าที่เคียฟและรัฐบาลท้องถิ่นเปิดเผยเมื่อวันจันทร์ว่า มีทหาร 5 นายและพลเรือน 3 คนของยูเครนเสียชีวิตในช่วง 24 ชั่วโมงล่าสุด
การสู้รบในยูเครนตะวันตกทำให้มีผู้เสียชีวิตราว 50 คนในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะที่ความพยายามในการเจรจาหยุดยิงครั้งล่าสุดที่มินสก์ เมืองหลวงของเบลารุส เมื่อวันเสาร์ (31 ม.ค.) ล้มไม่เป็นท่า
โวโลดิมีร์ โปลยอฟยี โฆษกกองทัพยูเครนแถลงเมื่อวันอาทิตย์ (1) ว่า มีการปะทะต่อเนื่องรอบๆ เมืองเดบัลต์เซเบ โดยรัฐบาลได้ส่งรถถังและยานยนต์หนักอื่นๆ ไปเสริมกำลังรบแล้ว
การต่อสู้ที่ปะทุขึ้นครั้งนี้มีขึ้นขณะที่วอชิงตันและผู้บัญชาการทหารขององค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ (นาโต) มีแนวโน้มที่จะส่งอาวุธให้กองทัพยูเครน
หนังสือพิมพ์นิวยอร์ก ไทมส์ฉบับวันอาทิตย์รายงานว่า คณะบริหารของประธานาธิบดีบารัค โอบามา กำลังพิจารณาจัดส่งอาวุธให้เคียฟ เพิ่มเติมจากเสื้อเกราะและเวชภัณฑ์
นอกจากนี้ยังมีรายงานว่า จอห์น เคร์รี รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ เตรียมเดินทางไปยังเคียฟในวันพฤหัสบดี (5) เพื่อย้ำการสนับสนุนของวอชิงตัน ในระหว่างที่เขาหารือกับประธานาธิบดีเปโตร โปโรเชนโก และนายกรัฐมนตรีอาร์เซนีย์ ยัตเซนยุค ของยูเครน
รัฐบาลตะวันตกและยูเครนกล่าวหามาตลอดว่า รัสเซียส่งกำลังทหารและอาวุธให้กบฏและเป็นหัวขบวนก่อความรุนแรงครั้งล่าสุด ทว่า มอสโกยืนกรานปฏิเสธตลอดมาเช่นเดียวกัน
วันอาทิตย์ ประธานาธิบดีฟรังซัวส์ ออลลองด์แห่งฝรั่งเศส นายกรัฐมนตรีอังเกลา แมร์เคิลของเยอรมนี และโปโรเชนโก หารือทางโทรศัพท์ โดยผู้นำทั้งสามเรียกร้องให้มีการหยุดยิงในยูเครนตะวันออกทันที
องค์การว่าด้วยความมั่นคงและความร่วมมือในยุโรป (โอเอสซีอี) ซึ่งทำหน้าที่เป็นคนกลางในการเจรจา และตัวแทนจากรัฐบาลเคียฟ ได้แถลงกล่าวหาว่ากลุ่มกบฏทำลายการเจรจาเมื่อวันเสาร์ โดยระบุว่า ฝ่ายกบฏไม่ได้เตรียมพร้อมสำหรับการหารือหยุดยิง แต่กลับเรียกร้องให้ทบทวนแผนการสันติภาพที่เครมลินสนับสนุนเมื่อเดือนกันยายนที่เป็นพื้นฐานการเจรจาทั้งหมดแทน
กลุ่มกบฏยังต้องการกำหนดเส้นแบ่งเขตใหม่เนื่องจากสามารถยึดพื้นที่ได้เพิ่มเติมนับจากละเมิดข้อตกลงหยุดยิงและรุกล้ำดินแดนของยูเครน
ด้านกลุ่มกบฏประณามโอเอสซีอีที่โยนความผิดให้ตน และสำทับว่า เคียฟต้องหยุดยิงก่อน