xs
xsm
sm
md
lg

‘เส้นทางสายไหมใหม่’ โครงการเปลี่ยนโลกแห่งศตวรรษที่ 21

เผยแพร่:   โดย: เปเป้ เอสโคบาร์

(เก็บความจากเอเชียไทมส์ออนไลน์ www.atimes.com)

Go west, young Han
By Pepe Escobar
17/12/2014

ถ้าหากทุกสิ่งทุกอย่างบังเกิดขึ้นมาตามแผนการ (และเป็นไปตามความฝันอันบรรเจิดของคณะผู้นำของจีน) โครงการ “เส้นทางสายไหมใหม่” ก็จะกลายเป็นโครงการแห่งศตวรรษที่ 21 อีกทั้งเป็นเรื่องราวเล่าขานทางการค้าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกในระยะเวลาหลายๆ ทศวรรษข้างหน้า วอชิงตันอาจจะมีความมุ่งมั่นตั้งใจในการเข้าไป “ปักหมุดในเอเชีย” ทว่าปักกิ่งกลับมีแผนการของตนเองในการเต้นระบำหมุนตัวอย่างเริงร่าเข้าไปในยุโรป โดยเดินทางตัดข้ามมหาทวีปยูเรเชีย

วันที่ 18 พฤศจิกายน 2014 ควรจะเป็นวันที่จดจำกันเอาไว้ในประวัติศาสตร์ไปตลอดกาล ในวันนั้น ที่เมืองอี้อู (Yiwu) ในมณฑลเจ้อเจียง ของจีน ซึ่งอยู่ห่างจากนครเซี่ยงไฮ้ไปทางใต้ราว 300 กิโลเมตร รถไฟขบวนแรกที่บรรทุกตู้คอนเทนเนอร์ 82 ตู้ บรรจุสินค้าส่งออกน้ำหนักรวมกันมากกว่า 1,000 ตัน เดินทางออกจากกลุ่มอาคารคลังสินค้าขนาดมหึมาของเมืองนี้ มุ่งหน้าไปยังกรุงมาดริด ประเทศสเปน และไปถึงจุดหมายปลายทางในอีก 21 วันต่อมา นั่นคือ วันที่ 9 ธันวาคม

ขอต้อนรับเข้าสู่ ทางรถไฟทรานส์ยูเรเชีย (trans-Eurasia) สายใหม่ครับ

ด้วยระยะทางกว่า 13,000 กิโลเมตร เส้นทางสายนี้จะกลายเป็นเส้นทางรถไฟบรรทุกสินค้าซึ่งมีความยาวที่สุดในโลก (นับเฉพาะที่มีการเดินทางกันเป็นประจำ) ได้อย่างไม่ยากไม่เย็นอะไรเลย เพราะจะมีความยาวยิ่งกว่า “ทางรถไฟสายทรานส์ไซบีเรีย” (Trans-Siberian Railway) ซึ่งกลายเป็นตำนานไปแล้วถึงราว 40% ทีเดียว สินค้าที่ลำเลียงในเส้นทางสายนี้ จะเดินทางข้ามประเทศจีนจากภาคตะวันออกสู่ภาคตะวันตก จากนั้นก็ผ่านคาซัคสถาน, รัสเซีย, เบลารุส, โปแลนด์, เยอรมนี, ฝรั่งเศส, และไปถึงสเปนในท้ายที่สุด

คุณๆ อาจจะนึกอะไรไม่ออกแม้สักน้อยนิดว่า เมืองอี้อู นี่อยู่ตรงไหน แต่สำหรับพวกนักธุรกิจซึ่งกำลังสาละวนอยู่กับการค้าขายข้ามยูเรเชีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกที่มาจากโลกอาหรับด้วยแล้ว พวกเขาต่างยึดโยงผูกพันตัวเองเข้ากับเมือง “ที่กำลังเกิดสิ่งมหัศจรรย์!” แห่งนี้เรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้เรากำลังพูดถึงเมืองที่เป็นศูนย์กลางค้าส่งขนาดใหญ่ที่สุดสำหรับสินค้าผู้บริโภคขนาดเล็กๆ ทั้งหลาย ตั้งแต่เสื้อผ้าไปจนถึงของเด็กเล่น เป็นไปได้ทีเดียวว่ามันเป็นศูนย์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของโลกด้วยซ้ำ ไม่ใช่แค่เฉพาะในจีนเท่านั้น

ทางรถไฟข้ามยูเรเชียเชื่อมต่อระหว่าง อี้อู-มาดริด สายนี้ เป็นตัวแทนการเริ่มต้นของโครงการการพัฒนาขนาดใหญ่โตมโหฬารชุดหนึ่ง ซึ่งมีศักยภาพที่จะพลิกเกมทำให้ความสัมพันธ์และการแข่งขันด้านต่างๆ ในโลกของเราต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ทางรถไฟสายนี้จะกลายเป็นช่องทางโลจิสติกส์ทรงประสิทธิภาพที่มีระยะยาวยาวเหยียดอย่างเหลือเชื่อ และก็จะเป็นตัวแทนของความคิดเชิงภูมิรัฐศาสตร์ชนิดที่คำนึงถึงมนุษย์ โดยเป็นการถักร้อยผู้ค้ารายเล็กๆ เข้ากับตลาดขนาดมหึมาข้ามผืนแผ่นดินอันกว้างใหญ่ไพศาล นอกจากนั้น ทางรถไฟสายนี้ยังกลายเป็นตัวอย่างรูปธรรมของกระบวนการบูรณาการดินแดนมหาทวีปยูเรเชียเข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ซึ่งเป็นกระบวนการที่กำลังดำเนินอยู่อย่างคึกคักในเวลานี้ และสิ่งสำคัญที่สุดยิ่งกว่าอื่นใด ทางรถไฟสายนี้คือส่วนประกอบส่วนแรกใน “เส้นทางสายไหมใหม่” (New Silk Road) ของจีน ซึ่งมองเห็นกันว่าเป็นโครงการแห่งคริสต์ศตวรรษที่ 21 อีกทั้งจะกลายเป็นเรื่องราวเล่าขานทางการค้าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกในระยะเวลาหลายๆ ทศวรรษข้างหน้า

ในสหรัฐอเมริกาช่วงที่มีการบุกเบิกภาคตะวันตก วลีหนึ่งซึ่งถูกหยิบยกขึ้นมาพูดกันก็คือ “Go west, young man” อันเป็นการแนะนำคนหนุ่มสาวทั้งหลายให้เดินทางไปแสวงโชคยังดินแดนตะวันตก เราสามารถที่จะนำวลีนี้มาปรับใช้กับสถานการณ์ในปัจจุบันเช่นกัน คำแนะนำของผมสำหรับคนหนุ่มสาวชาวจีนฮั่นก็คือ “Go west, young Han” ในวันหนึ่งข้างหน้า ถ้าหากทุกสิ่งทุกอย่างบังเกิดขึ้นมาตามแผนการ (และเป็นไปตามความฝันอันบรรเจิดของคณะผู้นำของจีน) ทุกสิ่งทุกอย่างจะกลายเป็นของพวกคุณ และขนส่งโดยทางรถไฟไฮสปีดด้วย การเดินทางจากจีนไปยังยุโรปจะเป็นเรื่องที่ใช้เวลาเพียงแค่ 2 วัน ไม่ใช่ 21 วันอย่างในขณะนี้ อันที่จริงแล้ว ขณะที่ขบวนรถไฟสินค้าแล่นออกจากเมืองอี้อู ขบวนรถไฟความเร็วสูง D8602 ก็กำลังออกจากเมืองอูรุมชี (Urumqi) เมืองเอกของมณฑลซินเจียง (ซินเกียง) มุ่งหน้าไปยังเมืองฮามิ (Hami) เมืองที่อยู่ทางภาคตะวันตกสุดของประเทศจีน นั่นเป็นทางรถไฟไฮสปีดสายแรกที่สร้างขึ้นในซินเจียง และทางรถไฟทำนองเดียวกันนี้จะปรากฏออกมาเพิ่มขึ้นอีกในเร็วๆ นี้ตลอดทั่วทั้งประเทศจีน ด้วยอัตราความเร็วซึ่งน่าจะทำให้เกิดอาการคลื่นเหียนวิงเวียนได้ทีเดียว

ทุกวันนี้ การค้าด้วยตู้คอนเทนเนอร์ (container trade การค้าแบบที่ขนส่งสินค้าด้วยการนำไปบรรจุในตู้คอนเทนเนอร์) ของทั่วโลก 90% ทีเดียวยังคงเดินทางขนส่งกันทางทะเล และนี่คือสิ่งที่ปักกิ่งมีแผนการที่จะเปลี่ยนแปลง โครงการเส้นทางสายไหมใหม่ของจีน ซึ่งยังอยู่ในขั้นเป็นตัวอ่อนในครรภ์และเดินหน้าไปค่อนข้างช้า จะกลายเป็นตัวอย่างแรกของการทะลุทะลวงกรอบเดิมๆ เพื่อไปสู่การปฏิวัติการค้าด้วยตู้คอนเทนเนอร์ ชนิดที่จะเดินทางข้ามทวีปกันด้วยเส้นทางบก ไม่ใช่ข้ามน้ำข้ามทะเลกันอีกต่อไป

การปฏิวัติดังกล่าวนี้จะก่อให้เกิดข้อตกลงแบบ “วิน-วิน” ที่ทุกฝ่ายต่างได้ชัยชนะ ในอนาคตข้างหน้า เป็นต้นว่า ต้นทุนค่าขนส่งจะต่ำลง, พวกบริษัทก่อสร้างของจีนจะขยายตัวไกลออกไปอีกในบรรดาประเทศแถบเอเชียกลางที่มีชื่อลงท้ายว่า “สถาน” (stan) ทั้งหลาย ตลอดจนเข้าไปในยุโรป, ก่อให้เกิดเส้นทางที่สะดวกขึ้นและรวดเร็วขึ้นในการลำเลียงเคลื่อนย้ายแร่ยูเรเนียมและโลหะหายากทั้งหลายจากเอเชียกลางไปยังพื้นที่อื่นๆ ของโลก, และเป็นการเปิดตลาดใหม่ๆ จำนวนมากมายนับไม่ถ้วนซึ่งประกอบด้วยประชากรหลายร้อยล้านคน

ดังนั้น ถ้าหากวอชิงตันมีความมุ่งมั่นตั้งใจในการเข้าไป “ปักหมุดในเอเชีย” แล้ว จีนก็มีแผนการของตนเองอยู่ในใจเหมือนกัน ลองคิดดูเถอะ พวกเขาไม่ได้ “ปักหมุด” แต่กำลังเต้นระบำหมุนตัวอย่างเริงร่าเข้าไปในยุโรป โดยเดินทางตัดข้ามมหาทวีปยูเรเชีย

เปลี่ยนข้างหันมาอยู่กับฝ่ายตะวันออกจะดีกว่าไหม?

อัตราความเร็วที่สิ่งต่างๆ ทั้งหมดนี้กำลังบังเกิดขึ้น อยู่ในระดับที่น่าพิศวงงงงวย ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน ประกาศเปิดตัว “แถบเศรษฐกิจเส้นทางสายไหมใหม่” (New Silk Road Economic Belt) ที่กรุงอัสตานา ประเทศคาซัคสถาน ในเดือนกันยายน 2013 อีก 1 เดือนถัดมา ขณะที่อยู่ในกรุงจาการ์ตา เมืองหลวงของอินโดนีเซีย เขาประกาศเรื่อง “เส้นทางสายไหมทางทะเลแห่งศตวรรษที่ 21” (21st-century Maritime Silk Road) ปักกิ่งให้คำนิยามสรุปแนวความคิดโดยองค์รวมที่อยู่เบื้องหลังการวางแผนของตนเหล่านี้เอาไว้ว่า คือ “หนึ่งเส้นทางและหนึ่งแถบเศรษฐกิจ” (one road and one belt) ขณะที่ในความเป็นจริงแล้วสิ่งที่จีนกำลังขบคิดอยู่ มีลักษณะเป็นพหุพจน์ มีลักษณะเป็นเครือข่ายอันสลับซับซ้อนชวนปวดเศียรเวียนเกล้า ของเส้นทางถนน, เส้นทางราง, เส้นทางเดินทะเล, และแถบเศรษฐกิจ จำนวนมากมาย ที่มีลู่ทางโอกาสจะจัดสร้างขึ้นมาและนำมาต่อเชื่อมกัน

ดังนั้น สิ่งที่เรากำลังพูดกันอยู่จึงเป็นยุทธศาสตร์แห่งชาติ ซึ่งมีจุดมุ่งหมายที่จะอาศัยอิทธิพลบารมีในประวัติศาสตร์ของเส้นทางสายไหมโบราณ ซึ่งได้ทำหน้าที่เป็นสะพานและตัวเชื่อมต่ออารยธรรมต่างๆ ทั้งตะวันออกและตะวันตก ขณะเดียวกับที่สร้างพื้นฐานสำหรับการจัดตั้งเขตความร่วมมือทางเศรษฐกิจทั่วทั้งยูเรเซียขึ้นมา เขตดังกล่าวนี้อาจจะประกอบด้วยหลายๆ เขตที่มาต่อเชื่อมประสานเข้าด้วยกันจนกลายเป็นพื้นที่ขนาดกว้างขวางมหึมา ทั้งนี้คณะผู้นำจีนได้เปิดไฟเขียวให้จัดตั้งกองทุนโครงสร้างพื้นฐานมูลค่า 40,000 ล้านดอลลาร์ขึ้นมาเรียบร้อยแล้ว โดยที่มีธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งประเทศจีน (China Development Bank) เป็นผู้ทำหน้าที่กำกับดูแล กองทุนนี้จะสร้างถนน, ทางรถไฟความเร็วสูง, และสายท่อส่งน้ำมันและก๊าซ ผ่านกลุ่มมณฑลต่างๆ ของจีน ในไม่ช้าไม่นานกองทุนนี้ยังจะขยับขยายออกไปครอบคลุมสนับสนุนโครงการต่างๆ ที่ดำเนินการอยู่ในเอเชียใต้, เอเชียตะวันออกเฉียงใต้, ตะวันออกกลาง, ตลอดจนหลายๆ ส่วนของยุโรป อีกด้วย แต่ถึงอย่างไร เอเชียกลาง ก็จะเป็นเป้าหมายเฉพาะหน้าที่ถือว่าสำคัญที่สุด

บริษัทจีนแห่งต่างๆ จะเข้าไปทำการลงทุน และไปเข้าร่วมการประมูลก่อสร้างจัดทำโครงการ ในประเทศต่างๆ หลายสิบประเทศซึ่งอยู่ตามแนวทางของเส้นทางสายไหมที่วางแผนกันเอาไว้เหล่านี้ หลังจากแดนมังกรผ่านช่วง 3 ทศวรรษแห่งการพัฒนา ซึ่งตลอดระยะเวลาดังกล่าวมีการดูดซับเงินลงทุนต่างประเทศด้วยอัตราความเร็วอย่างเร็วจี๋น่ากลัวมาก เวลานี้ยุทธศาสตร์ของจีนกำลังปรับเปลี่ยนไปเป็นตรงกันข้าม ด้วยการเปิดไฟเขียวอนุญาตให้เงินทุนของแดนมังกรเอง หลั่งไหลออกไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งนี้บริษัทจีนเป็นผู้ชนะประมูลได้ทำสัญญาด้านต่างๆ คิดเป็นมูลค่า 30,000 ล้านดอลลาร์แล้วในคาซัคสถาน และได้อีกประมาณ 15,000 ล้านดอลลาร์ในอุซเบกิสถาน นอกจากนั้นจีนยังให้เงินกู้ 8,000 ล้านดอลลาร์แก่เติร์กเมนิสถาน และอีก 1,000 ล้านดอลลาร์แก่ทาจิกิสถาน

ในปี 2013 ความสัมพันธ์ที่แดนมังกรมีอยู่กับคีร์กิซสถาน ได้รับการอัปเกรดขึ้นสู่ระดับที่ฝ่ายจีนใช้คำว่า “ระดับยุทธศาสตร์” ขณะเดียวกัน จีนก็กลายเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของประเทศ เหล่านี้ทุกๆ ราย ยกเว้นเฉพาะอุซเบกิสถานเท่านั้น และถึงแม้อดีตสาธารณรัฐสังคมนิยมของสหภาพโซเวียตในเอเชียกลางเหล่านี้ ยังมีข้อผูกพันกับเครือข่ายสายท่อส่งน้ำมันและก๊าซของรัสเซีย แต่จีนก็ไปทำงานในประเทศเหล่านี้ด้วย โดยกำลังสร้างเครือข่ายสายท่อส่งของตนเองขึ้นมา รวมทั้งสายท่อส่งก๊าซสายใหม่ที่ต่อออกไปจนถึงเติร์กเมนิสถาน และก็ยังจะมีโครงการทำนองนี้ติดตามออกมาเพิ่มขึ้นอีก

เราสามารถคาดหมายได้เลยว่า การแข่งขันกันในระหว่างมณฑลต่างๆ ของจีน เพื่อให้ได้ส่วนแบ่งมากๆ จากธุรกิจเหล่านี้ ตลอดจนส่วนแบ่งโครงการทางด้านโครงสร้างพื้นฐานซึ่งจะติดตามมากับธุรกิจ จะต้องดำเนินไปด้วยความดุเดือดอย่างแน่นอน ซินเจียงนั้นกำลังได้รับการจัดวางจากปักกิ่งอีกครั้งหนึ่งแล้ว เพื่อให้อยู่ในฐานะศูนย์สำคัญแห่งหนึ่งภายในเครือข่ายยูเรเชียใหม่ของแดนมังกร ส่วนกวางตุ้งที่มีฉายาว่า “โรงงานของโลก” เมื่อต้นเดือนพฤศจิกายนปีนี้ ได้รับโอกาสให้เป็นเจ้าภาพจัดงานนิทรรศการนานาชาติครั้งแรกซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับเส้นทางสายไหมทางทะเลของประเทศจีน และปรากฏว่ามีตัวแทนชาติต่างๆ ไปเข้าร่วมงานไม่ต่ำกว่า 42 ประเทศ

ตัวประธานาธิบดีสี ในขณะนี้กำลังกระตือรือร้นที่จะเสนอขายมณฑลบ้านเกิดของเขา ซึ่งคือมณฑลซานซี เพื่อให้เป็นศูนย์กลางการขนส่งศูนย์หนึ่งของศตวรรษที่ 21 ทั้งนี้ในอดีต เมืองซีอาน ที่เป็นเมืองเอกของมณฑลซานซี ก็เคยเป็นจุดตั้งต้นของเส้นทางสายไหมในประวัติศาสตร์มาแล้ว สี กำลังทำให้เส้นทางสายไหมใหม่ของเขาบรรจุเอาซานซีเข้าไปอยู่ในแนวเส้นทางด้วย เช่นเดียวกับประเทศอื่นๆ อีกหลายๆ ราย ไม่ว่าจะเป็น ทาจิกิสถาน, มัลดีฟส์, ศรีลังกา, อินเดีย, และ อัฟกานิสถาน

ทำนองเดียวกับเส้นทางสายไหมในประวัติศาสตร์ เวลาที่เราคิดถึงเส้นทางสายไหมใหม่ ก็จำเป็นจะต้องนึกคิดในลักษณะที่มันเป็นพหุพจน์ เราจะต้องวาดภาพจินตนาการว่ามันจะมีลักษณะเป็นเครือข่ายเส้นทางถนน, เส้นทางราง, และสายท่อส่ง ที่มีเส้นแยกอยู่มากมาย ส่วนที่เป็นเส้นทางสายหลักส่วนหนึ่งจะวิ่งผ่านทะลุเอเชียกลาง, อิหร่าน, และตุรกี โดยที่มีนครอิสตันบูลเป็นจุดทางแยกที่อาจต่อเชื่อมไปยังที่อื่นๆ ต่อไปอีก ทั้งนี้ อิหร่านและเอเชียกลาง ต่างกำลังส่งเสริมสนับสนุนเส้นทางแยกที่ประเทศตนจะไปเชื่อมกับอิสตันบูลกันแล้วอย่างกระตือรือร้น

ส่วนของเส้นทางสายหลักอีกส่วนหนึ่ง จะเดินไปตามทางรถไฟสายทรานส์ไซบีเรีย โดยที่มีกรุงมอสโกเป็นข้อต่อที่สำคัญ ทันทีที่การรีมิกซ์เส้นทางรางสายทรานส์ไซบีเรียให้กลายเป็นทางรถไฟไฮสปีดสำเร็จสมบูรณ์ การเดินทางระหว่างปักกิ่งกับมอสโกก็จะใช้เวลาลดฮวบลงจาก 6 วันครึ่งในปัจจุบัน เหลือเพียงแค่ 33 ชั่วโมงเท่านั้น ในท้ายที่สุด เมืองรอตเตอร์ดัม, ดุยสบวร์ก, และเบอร์ลิน ก็อาจจะกลายเป็นข้อต่อของ “ทางหลวง” แห่งอนาคตนี้ไปทั้งหมด โดยที่พวกผู้บริหารของภาคธุรกิจชาวเยอรมันกำลังแสดงความกระตือรือร้นเกี่ยวกับโอกาสลู่ทางในเรื่องนี้เป็นอย่างมาก

สำหรับเส้นทางสายไหมทางทะเลจะเริ่มต้นในมณฑลกวางตุ้ง จากนั้นก็ต่อไปยังช่องแคบมะละกา, มหาสมุทรอินเดีย, จะงอยแอฟริกา (Horn of Africa), ทะเลแดง, และทะเลเมดิเตอร์เรเนียน โดยไปสิ้นสุดกันที่นครเวนิส ประเทศอิตาลี ซึ่งถือว่าเป็นการลงเอยที่ยุติธรรมและงดงามมาก เมื่อเราลองคิดดูว่า นี่คือการเดินทางย้อนศรเส้นทางของมาร์โค โปโล (Marco Polo) นั่นเอง

ทั้งหมดเหล่านี้ได้รับการกำหนดกรอบเวลาให้เสร็จสิ้นภายในปี 2025 ระหว่างการดำเนินโครงการอันใหญ่โตมโหฬารนี้ ก็เป็นโอกาสที่จีนจะได้สั่งสมสร้าง “อำนาจละมุน” (soft power) ในอนาคตไปด้วย อำนาจชนิดนี้เองที่จีนในปัจจุบันยังคงขาดแคลนอย่างสาหัส เมื่อตอนที่ประธานาธิบดีสี ประกาศว่าจะผลักดันให้ “ทลายส่วนตีบตันที่กำลังขัดขวางการติดต่อเชื่อมโยง” ตลอดทั่วทั้งเอเชียนั้น เขาก็ให้คำมั่นสัญญาไปด้วยว่า จีนจะให้สินเชื่อเพื่อการนี้แก่ประเทศต่างๆ จำนวนมาก

คราวนี้ เมื่อเราเอายุทธศาสตร์เส้นทางสายไหมใหม่นี้ มาผสมเข้ากับความร่วมมือที่กำลังเพิ่มมากขึ้นในระหว่างพวกประเทศกลุ่มบริกส์ (BRICS อันได้แก่ บราซิล, รัสเซีย, อินเดีย, จีน, และแอฟริกาใต้) แล้วบวกด้วยความร่วมมือที่กำลังยกระดับขึ้นในหมู่สมาชิกขององค์การความร่วมมือเซี่ยงไฮ้ (Shanghai Cooperation Organization ใช้อักษรย่อว่า SCO) และรวมเข้ากับการที่จีนกำลังมีบทบาทและอิทธิพลเพิ่มมากขึ้นในหมู่ 120 สมาชิกของขบวนการไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด (Non-Aligned Movement หรือ NAM) ก็ทำให้ไม่มีอะไรน่าแปลกใจเลย ที่ในตลอดทั่วทั้งกลุ่ม “Global South” (บรรดาประเทศกำลังพัฒนาทั่วโลก) กำลังมีความรับรู้ความเข้าใจกัน ว่า ขณะที่สหรัฐฯยังคงยุ่งเกี่ยวพัวพันอยู่ในสงครามอันไม่จบไม่สิ้นของตนอยู่นั้น โลกก็กำลังพากันเปลี่ยนข้างหันมาอยู่กับฝ่ายตะวันออก

ธนาคารแห่งใหม่ๆ และความฝันอย่างใหม่ๆ

การประชุมซัมมิตของกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (เอเปก) ในกรุงปักกิ่งเมื่อเร็วๆ นี้ แน่นอนทีเดียวว่าต้องถือเป็นเรื่องราวความสำเร็จเรื่องหนึ่งของจีน ทว่ายังมีเรื่องราวเกี่ยวกับเอเปกซึ่งใหญ่โตกว่านี้อีก แต่ในทางเป็นจริงมิได้รับการรายงานข่าวเอาเลยในสหรัฐอเมริกา นั่นคือ มีประเทศในเอเชีย 22 ประเทศเห็นชอบให้จัดตั้ง “ธนาคารเพื่อการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานแห่งเอเชีย” (Asian Infrastructure Investment Bank ใช้อักษรย่อว่า AIIB) ขึ้นมา หลังจากที่ สี ริเริ่มเสนอเรื่องนี้เพียงแค่เมื่อ 1 ปีก่อน AIIB จะไม่ใช่เป็นธนาคารอีกแห่งหนึ่งเท่านั้น หากจะอยู่ในลักษณะคล้ายๆ กับ ธนาคารเพื่อการพัฒนาของกลุ่มบริกส์ (BRICS Development Bank) โดยจะช่วยเหลือทางการเงินให้แก่โครงการด้านพลังงาน, สื่อสารโทรคมนาคม, และการคมนาคมขนส่ง ทั้งนี้เงินทุนเริ่มต้นของแบงก์ใหม่แห่งนี้จะอยู่ที่ 50,000 ล้านดอลลาร์ โดยจีนกับอินเดียจะเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุด

เราควรที่จะพิจารณาการจัดตั้งธนาคารแห่งนี้ขึ้นมา ในฐานะที่เป็นการตอบโต้จากจีน-อินเดีย ต่อธนาคารพัฒนาเอเชีย (Asian Development Bank ใช้อักษรย่อว่า ADB) ADB นั้นก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี 1966 แล้ว ภายใต้การอุปถัมภ์ช่วยเหลือของธนาคารโลก (World Bank) และถูกมองโดยผู้คนส่วนใหญ่ในโลกว่าเป็นเครื่องมือสำหรับทำคะแนนให้แก่ “ฉันทามติวอชิงตัน” (Washington Consensus) การที่จีนกับอินเดียออกมายืนยันว่า การพิจารณาปล่อยเงินกู้ของแบงก์ใหม่แห่งนี้ จะยึดหลัก “ความยุติธรรม, ความเสมอภาค, และความโปร่งใส” พวกเขาหมายความว่ามันจะแตกต่างอย่างชัดเจนกับวิธีปฏิบัติของ ADB (ซึ่งยังคงเป็นกิจการของสหรัฐฯ-ญี่ปุ่น โดย 2 ประเทศนี้รวมกันแล้วเป็นผู้ควักกระเป๋าออกเงินทุนให้ธนาคารแห่งนี้ในสัดส่วน 31% และมีสิทธิออกเสียงเท่ากับ 25% ของคะแนนเสียงทั้งหมดใน ADB) --และก็เป็นสัญญาณประการหนึ่งของระเบียบใหม่ในเอเชียที่กำลังเคลื่อนเข้ามาถึง นอกจากนี้แล้ว แม้กระทั่งเมื่อพูดกันในระดับของความเป็นไปได้ในทางปฏิบัติเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ก็ย่อมเห็นกันได้อย่างชัดเจนว่า ADB จะไม่ให้ความสนับสนุนทางการเงินแก่ความพยายามจัดสร้างโครงสร้างพื้นฐานในเอเชียชนิดที่เป็นความต้องการอันแท้จริง อย่างที่คณะผู้นำจีนกำลังฝันเอาไว้ นี่เองคือคำอธิบายว่าทำไม AIIB จึงสามารถที่จะแทรกตัวเข้ามาได้อย่างง่ายดายเช่นนี้

เรายังควรที่จะต้องระลึกถึงข้อเท็จจริงที่ว่า เวลานี้ประเทศจีนอยู่ในฐานะที่เป็นคู่ค้าสำคัญอันดับสูงสุดของอินเดีย, ปากีสถาน, และบังกลาเทศ อยู่แล้ว ขณะที่อยู่ในอันดับ 2 ในการเป็นคู่ค้าของศรีลังกา และเนปาล แล้วก็เป็นอันดับ 1 อีกเมื่อหันมาพูดถึงสมาคมอาเซียน กล่าวได้ทีเดียวว่าจีนนั้นเป็นคู่ค้าที่มียอดมูลค่าการค้าสูงสุดของชาติสมาชิกอาเซียนทั้งหมดทุกๆ ราย ทั้งๆ ที่เมื่อไม่นานมานี้จีนตกเป็นข่าวเกรียวกราวว่าเกิดพิพาทขัดแย้งกับหลายๆ ประเทศอาเซียน ในเรื่องการช่วงชิงเขตน่านน้ำที่อาจจะมีน้ำมันหรือก๊าซสำรองอยู่ใต้ทะเลเป็นปริมาณมากๆ ขนาดของประชากร หรือขนาดของตลาดของอาณาบริเวณ 3 ส่วนนี้ คือความฝันที่กำลังกลายเป็นความจริงแห่งการมาบรรจบกันของประชาชนจำนวน 600 ล้านคนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้, 1,300 ล้านคนในประเทศจีน, และอีก 1,500 ล้านคนในอนุทวีปอินเดีย

มีสมาชิกเอเปกเหลืออยู่เพียง 3 รายเท่านั้น (นอกเหนือจากสหรัฐฯ) ที่ยังไม่ได้ออกเสียงรับรองธนาคารแห่งใหม่นี้ ได้แก่ ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้, และออสเตรเลีย โดยที่มีรายงานว่าทั้งหมดต่างถูกคณะบริหารของโอบามาบีบคั้นกดดันอย่างแรง (อินโดนีเซียนั้นไม่ได้รับรองการจัดตั้ง AIIB ตั้งแต่ตอนต้น แต่ได้ลงนามเข้าร่วมในอีกไม่กี่วันถัดมา) และออสเตรเลียก็กำลังพบว่าเป็นเรื่องยากลำบากมากขึ้นทุกทีในทุกวันนี้ ที่จะต้านทานมนตร์เสน่ห์ของสิ่งที่ถูกเรียกขานกันว่า “การทูตเงินหยวน” (yuan diplomacy)

ในโลกแห่งความเป็นจริง ไม่ว่าชาติเอเชียส่วนข้างมากจำนวนท่วมท้น จะคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับสิ่งที่จีนเองบรรยายว่าเป็น “การก้าวผงาดขึ้นมาอย่างสันติ” ของแดนมังกร แต่ชาติเหล่านี้แทบทั้งหมดก็พร้อมแล้วที่จะถอยห่างหรือผละหนีออกจากโลกแห่งการค้าและการพาณิชย์แบบที่ถูกวอชิงตัน-นาโต้ครอบงำอยู่ รวมทั้งถอยห่างผละหนีจากข้อตกลงการค้าชุดใหญ่ที่จะมาพร้อมกับโลกดังกล่าวนั้น –ไล่เรียงตั้งแต่ ข้อตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจสองฟากฝั่งแอตแลนติก (Trans-Atlantic Trade and Investment Partnership หรือ TTIP) ที่สหรัฐฯเสนอขึ้นสำหรับยุโรป และข้อตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (Trans-Pacific Partnership หรือ TPP) สำหรับเอเชีย

เมื่อมังกรจีนสวมกอดหมีรัสเซีย

สำหรับประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซีย การประชุมซัมมิตเอเปกคราวนี้ ก็เป็นการประชุมที่แสนวิเศษเลิศเลอ หลังจากที่ประเทศของเขากับประเทศจีนตัดสินใจทำข้อตกลงซื้อขายก๊าซธรรมชาติมูลค่ามหาศาลถึง 400,000 ล้านดอลลาร์ไปในเดือนพฤษภาคม (โดยที่จะเป็นการจัดส่งผ่านทางสายท่อส่ง “พาวเวอร์ออฟไซบีเรีย” (Power of Siberia) ซึ่งเริ่มการก่อสร้างในปีนี้) ประเทศทั้ง 2 ก็ได้ลงนามในข้อตกลงฉบับที่ 2 มูลค่า 325,000 ล้านดอลลาร์ คราวนี้จะเป็นการส่งก๊าซรัสเซียไปยังจีนผ่านทางสายท่อส่ง “อัลไต” (Altai) ซึ่งจะมีจุดเริ่มต้นจริงๆ ในเขตไซบีเรียตะวันตก

จากข้อตกลงด้านพลังงานขนาดมโหฬาร 2 ฉบับเหล่านี้ ยังไม่ได้หมายความว่าปักกิ่งกำลังจะต้องพึ่งพาอาศัยมอสโกอย่างดิ้นไม่ออกในเรื่องพลังงาน โดยที่ประมาณการกันว่า สายท่อส่งทั้งสองรวมกันจะจัดส่งก๊าซคิดเป็นปริมาณเท่ากับ 17% ของความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติของจีนเมื่อถึงปี 2020 (นอกจากนั้น ก๊าซคิดเป็นเพียง 10% ของพลังงานทุกๆ อย่างทั้งหมดรวมกันซึ่งจีนใช้อยู่ในปัจจุบัน) แต่กระนั้น ข้อตกลง 2 ฉบับนี้ก็เป็นสัญญาณบ่งบอกให้ทราบว่ากระแสลมกำลังพัดอย่างแรงกล้าในทิศทางไหน ณ บริเวณใจกลางมหาทวีปยูเรเชีย ถึงแม้ธนาคารต่างๆ ของฝ่ายจีนยังคงไม่สามารถเข้าแทนที่ผลกระทบทั้งหลายที่เกิดขึ้นจากมาตรการแซงก์ชั่น ซึ่งสหรัฐฯกับอียูประกาศออกมาใช้เล่นงานรัสเซีย แต่แบงก์เหล่านี้ก็กำลังเสนอหนทางให้มอสโกที่กำลังถูกกระหน่ำตีจากราคาน้ำมันซึ่งตกฮวบในช่วงหลังๆ นี้ ได้บรรเทาความยากลำบากลงบ้าง ในรูปของการเข้าถึงสินเชื่อของจีน

ไม่เพียงทางด้านพลังงาน ในด้านการทหาร รัสเซียกับจีนเวลานี้ก็ได้ตกลงกันที่จะจัดการซ้อมรบทางทหารขนาดใหญ่ๆ ร่วมกัน รวมทั้งคาดหมายกันว่าอีกไม่ช้าไม่นาน ระบบขีปนาวุธป้องกันภัยทางอากาศรุ่น S-400 อันล้ำหน้าสุดทันสมัยของรัสเซีย ก็จะถูกจัดส่งให้แก่จีน นอกจากนั้น เมื่อเร็วๆ นี้ปูตินได้ประกาศหยิบยกนำเอาหลักนิยมทางทหารยุคโซเวียตว่าด้วย “ความมั่นคงร่วมกัน” (collective security) ในเอเชียขึ้นมาปัดฝุ่นกันใหม่ ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในยุคหลังสงครามเย็น และก็มีความเป็นไปได้ที่อาจจะนำมาใช้เป็นเสาหลักต้นหนึ่งของความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ระหว่างจีนกับรัสเซียในยุคใหม่

ประธานาธิบดีสี ของจีนเรียกสิ่งต่างๆ ทั้งหมดเหล่านี้ว่าเป็น “ต้นไม้เขียวจีรังแห่งมิตรภาพจีน-รัสเซีย” (evergreen tree of Chinese-Russian friendship) – หรือคุณอาจจะมองไปในมุมที่ว่า นี่แหละคือยุทธศาสตร์ “ปักหมุด” ในประเทศจีนของปูตินก็ยังได้ แต่ไม่ว่าจะมองกันในแง่ไหน วอชิงตันย่อมไม่ได้รู้สึกโปรดปรานยินดีอะไรหรอก ที่ได้เห็นมอสโกกับปักกิ่งกำลังเริ่มต้นประสานความแข็งแกร่งของพวกเขาเข้าด้วยกัน อย่าลืมว่าฝ่ายรัสเซียนั้นเป็นเลิศในด้าน การบินและอวกาศ, เทคโนโลยีกลาโหม, และเครื่องจักรอุปกรณ์การผลิตขนาดหนัก ส่วนฝ่ายจีนก็ยอดเยี่ยมในด้านการเกษตร, อุตสาหกรรมเบา, และเทคโนโลยีสารสนเทศ

เป็นที่กระจ่างแจ้งชัดเจนแล้วว่าในระยะหลายๆ ปีต่อจากนี้ไป ทั่วทั้งมหาทวีปยูเรเชีย สายท่อส่งน้ำมันและก๊าซของรัสเซียต่างหาก ไม่ใช่ของฝ่ายตะวันตก จะถูกสร้างถูกวางแผ่ขยายไปทั่ว เหตุการณ์น่าตื่นใจล่าสุดในดราม่าเรื่องการวางสายท่อส่งพลังงานในอาณาบริเวณนี้ ก็คือการที่ กาซปรอม (Gazprom รัฐวิสาหกิจยักษ์ใหญ่ด้านก๊าซธรรมชาติของรัสเซีย) ประกาศยกเลิกแผนการก่อสร้างสายท่อส่ง “เซาท์สตรีม” (South Stream) ซึ่งจะลำเลียงก๊าซของรัสเซียไปสู่ยุโรปเพิ่มขึ้น ทั้งๆ ที่เห็นกันว่าเป็นโครงการที่มีลู่ทางโอกาสทางธุรกิจอยู่มาก การยกเลิกเช่นนี้มีแต่จะเป็นการรับประกันว่า ทั้งรัสเซียและตุรกีจะยิ่งผนวกรวมตัวในมิติด้านพลังงานเข้ากับยูเรเชียใหม่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ (หมายเหตุผู้แปล - ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ข้อเขียนของผู้เขียน Pepe Escobar เรื่อง Russia, Turkey pivot across Eurasia, Asia Times Online, December 8, 2014 ที่เว็บเพจ http://www.atimes.com/atimes/Central_Asia/CEN-01-081214.html)

ลาทีโลกที่มีขั้วอำนาจเพียงขั้วเดียว

พัฒนาการด้านต่างๆ ที่มีความเกี่ยวข้องโยงใยกันทั้งหมดเหล่านี้ บ่งชี้ให้เห็นถึงการปรับเปลี่ยนทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ในระดับรากฐานที่สุดของมหาทวีปยูเรเชีย ซึ่งสื่อมวลชนอเมริกันต่างยังคงดูไม่ออกจับทางไม่ถูก แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าไม่มีใครสังเกตเห็นอะไรกันเลย คุณสามารถสูดได้กลิ่นการตั้งเค้าของความตื่นตระหนกในหมู่ชนชั้นนำของวอชิงตันโชยออกมาในอากาศกันแล้ว สภาว่าด้วยความสัมพันธ์กับต่างประเทศ (Council on Foreign Relations) กำลังจัดพิมพ์บทร่ำไห้อาลัยที่ชั่วเวลาแห่งความเป็นข้อยกเว้นทางประวัติศาสตร์ของอภิมหาอำนาจแต่เพียงผู้เดียวของโลกอย่างสหรัฐอเมริกา “กำลังค่อยๆ หลุดลอยออกไป” ขณะที่ คณะกรรมาธิการทบทวนด้านเศรษฐกิจและความมั่นคงสหรัฐฯ-จีน (US-China Economic and Security Review Commission) ยังคงมีความสามารถเพียงแค่การประณามคณะผู้นำจีนว่า “ไม่จงรักภักดี”, พลิกตัวกลับออกจาก “การปฏิรูป”, และเป็นศัตรูของ “กระบวนการเปิดเสรี” เศรษฐกิจของพวกเขาเอง

สิ่งที่โลกตะวันตกโดยเฉพาะสหรัฐฯ นิยมหาเรื่องเอามากล่าวหากันจนเป็นปกติวิสัยไปเสียแล้วก็คือ จีนที่มั่งคั่งร่ำรวยขึ้นมาอย่างรวดเร็ว กำลังสั่นคลอนพลิกผัน “ระเบียบระหว่างประเทศ” จนวุ่นวายไปหมด และแดนมังกรก็จะนำเอาเคราะห์ร้ายมาสู่ “สันติภาพและความเจริญรุ่งเรือง” ในเอเชียไปตลอดชั่วกัลปาวสาน รวมทั้งกำลังก่อให้เกิด “สงครามเย็นชนิดใหม่” ขึ้นในเอเชีย ทั้งนี้เป็นเรื่องแน่นอนอยู่แล้วที่ในทัศนะมุมมองของวอชิงตันนั้น จีนที่กำลังก้าวผงาดขึ้นมา ยังคงเป็น “ภัยคุกคาม” สำคัญที่สุดในเอเชีย ถ้าหากไม่ใช่ถึงขนาดในระดับโลก ทั้งๆ ที่เพนตากอนต่างหากที่กำลังใช้จ่ายเงินทองงบประมาณอย่างมากมายมหาศาล เพื่อเก็บรักษา “จักรวรรดิแห่งฐานทัพของตน” ที่อยู่กระจัดกระจายตัวออกไปอย่างกว้างขวางในทั่วโลก ให้ดำรงคงอยู่ต่อไป ทว่าพวกรายงานเรื่องราวเกี่ยวกับภัยคุกคามใหม่ของจีนในแปซิฟิกและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งมีจุดตั้งต้นมาจากวอชิงตันเหล่านี้ ไม่เคยเลยที่จะระบุให้เห็นชัดๆ ว่า จีนยังคงตกอยู่ในวงล้อมของฐานทัพต่างๆ ของสหรัฐฯ โดยที่แดนมังกรขณะนี้ยังไม่มีฐานทัพแม้แต่แห่งเดียวที่อยู่นอกดินแดนของตนเอง

เป็นความจริงที่จีนก็กำลังเผชิญปัญหาอันหนักหน่วงสาหัสอยู่หลายอย่างหลายประการ รวมทั้งการเผชิญกับแรงกดดันบีบคั้นที่มาจาก “อภิมหาอำนาจหนึ่งเดียว” ของโลกด้วย หนึ่งในบรรดาปัญหาหนักหน่วงเหล่านี้ ได้แก่การที่ปักกิ่งหวาดกลัวว่าซัปพลายด้านพลังงานของตนซึ่งต้องนำเข้ามาจากต่างประเทศเป็นจำนวนมากและพึ่งพาอาศัยการลำเลียงขนส่งทางทะเลเป็นสำคัญนั้น จะถูกคุกคามเป็นอันตรายได้อย่างง่ายดาย ความหวั่นเกรงเช่นนี้เองซึ่งอยู่เบื้องหลังการที่ปักกิ่งทุ่มเทการลงทุนอย่างมโหฬารเพื่อช่วยเหลือการก่อสร้างเครือข่ายสายท่อส่งน้ำมันและก๊าซที่มีความเป็นมิตรกับจีนขึ้นในยูเรเชีย ไล่ตั้งแต่เอเชียกลางไปจนถึงไซบีเรีย ความกริ่งเกรงเกี่ยวกับความมั่นคงทางด้านพลังงานในอนาคตเช่นนี้ ยังสามารถใช้เป็นเหตุผลอธิบายถึงการที่จีนแสดงความกระตือรือร้นที่จะ “หลบหนีจากช่องแคบมะละกา” ด้วยการหันไปหาซัปพลายน้ำมันในแอฟริกาและอเมริกาใต้, ตลอดจนการบุกไปข้างหน้าอย่างแข็งกร้าวในการอ้างกรรมสิทธิ์เหนือบริเวณที่คาดกันว่าร่ำรวยด้วยพลังงานทั้งในทะเลจีนตะวันออกและทะเลจีนใต้ ทั้งนี้ปักกิ่งกำลังวางเดิมพันถือหางว่าบริเวณเหล่านี้อาจจะกลายเป็น “อ่าวเปอร์เซียแห่งที่สอง” โดยจะสามารถให้น้ำมันสูงสุดได้ถึง 130,000 ล้านบาร์เรล

สำหรับทางด้านแนวรบภายในประเทศ ประธานาธิบดีสี เพิ่งเสนอกรอบโครงแบบมีการแจกแจงรายละเอียด เกี่ยวกับวิสัยทัศน์ว่าด้วยเส้นทางเดิน “ชนิดที่ชี้นำโดยผลลัพธ์” สำหรับประเทศของเขาในระยะเวลา 1 ทศวรรษข้างหน้า ในโรดแมปดังกล่าวนี้ รายการการปฏิรูปต่างๆ ที่จีน “ต้องทำ” นั้นยาวเหยียดเป็นหางว่าว และในเวลาเดียวกับที่แสดงความวิตกกังวลเกี่ยวกับการประคับประคองให้เศรษฐกิจของจีน (ซึ่งกลายเป็นอันดับหนึ่งของโลกไปเรียบร้อยแล้วเมื่อวัดจากขนาดของเศรษฐกิจ) ยังคงสามารถวิ่งทะยานไปด้วยอัตราเร็วจี๋ สีก็ยังกำลังเร่งเครื่องเข้าต่อสู้ปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่น, การรับสินบน, และความสูญเปล่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายในพรรคคอมมิวนิสต์เอง

เรื่องประสิทธิภาพทางเศรษฐกิจก็เป็นปัญหาสำคัญอย่างยิ่งยวดอีกประการหนึ่ง พวกรัฐวิสาหกิจของจีนเวลานี้ทำการลงทุนกันอย่างน่าตื่นตะลึงคิดเป็นมูลค่าสูงถึงปีละ 2.3 ล้านล้านดอลลาร์ (เท่ากับ 43% ของการลงทุนทั้งหมดของประเทศ) ทว่าจากงานศึกษาวิจัยหลายๆ ชิ้นของคณะเศรษฐศาสตร์และการจัดการ มหาวิทยาลัยชิงหวา แสดงให้เห็นว่า มีการลงทุนในด้านเครื่องจักรอุปกรณ์และโครงสร้างการผลิตจำนวนมากทีเดียว ตั้งแต่โรงงานเหล็กกล้าไปจนถึงโรงปูนซีเมนต์ ซึ่งกลายเป็นการเพิ่มกำลังการผลิตที่ล้นเกินอยู่แล้ว และในทางเป็นจริงจึงกลับเป็นสิ่งที่ลดทอนผลิตภาพของจีนด้วยซ้ำ

เสี่ยวลู่ หวาง (Xiaolu Wang) และ อี้เสี่ยว โจว (Yixiao Zhou) ซึ่งเป็นผู้เขียนงานทางวิชาการที่ใช้ชื่อว่า “Deepening Reform for China's Long-term Growth and Development” (เดินหน้าการปฏิรูปให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้นเพื่อการเติบโตและการพัฒนาในระยะยาวของจีน) ระบุว่า จีนประสบความยากลำบากในการที่จะกระโดดจากฐานะการเป็นชาติรายได้ปานกลาง ไปเป็นชาติรายได้สูง (ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญประการหนึ่งที่จะต้องทำให้ได้สำหรับชาติที่เป็นมหาอำนาจระดับโลกอย่างแท้จริง) ทั้งนี้ การที่จะกระโดดขึ้นไปได้สำเร็จ แดนมังกรจะต้องทุ่มเทเงินทุนรัฐบาลเพิ่มขึ้นอย่างมหึมา ไปในกิจการอย่างเช่น การประกันสังคม/การจ่ายผลประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงาน และการดูแลรักษาสุขภาพ ถึงแม้ว่ารายการใช้จ่ายเหล่านี้จะได้รับการจัดสรรเงินคิดเป็น 9.8% และ 15.1% ตามลำดับในงบประมาณประจำปี 2014 ซึ่งถือว่าสูงแม้กระทั่งสำหรับประเทศตะวันตกบางราย ทว่ายังสูงไม่เพียงพอที่จะสนองความต้องการในประเทศจีนได้

แต่ถึงกระนั้น ใครก็ตามซึ่งได้ติดตามอย่างใกล้ชิดถึงสิ่งที่จีนทำสำเร็จตลอดระยะเวลา 3 ทศวรรษที่ผ่านมา ย่อมทราบดีว่า ไม่ว่าจีนจะประสบปัญหาอะไรก็ตาม ไม่ว่าจีนจะเผชิญภัยคุกคามอะไรก็ตาม จีนจะไม่พังพินาศแตกเป็นเสี่ยงๆ

ในความมุ่งมาดปรารถนาอันสูงลิ่วของแดนมังกรที่จะปรับเปลี่ยนเขียนแผนที่ทางการพาณิชย์ของโลกและแผนที่ทางอำนาจของโลกกันเสียใหม่นี้ สิ่งหนึ่งที่คณะผู้นำจีนขบคิดพิจารณาด้วย ก็คือ จะสามารถปรับปรุงเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ที่จีนมีอยู่กับยุโรปในอนาคตอันใกล้นี้อย่างไรได้บ้าง โดยควรเป็นการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงไปในหนทางที่จะต้องกลายเป็นการสร้างประวัติศาสตร์บทใหม่ขึ้นมาเช่นเดียวกัน

ลองพิจารณาข้อเสนอเกี่ยวกับ “ประชาคมที่มีความสอดคล้องกลมเกลียวกัน” (harmonious community) กันดูไหม?

ในขณะเดียวกับที่จีนกำลังเสนอการบูรณาการกันครั้งใหม่ของมหาทวีปยูเรเชียอยู่นี้ วอชิงตันกลับเลือกที่จะเดินหน้าผลักดัน “จักรวรรดิแห่งความปั่นป่วนวุ่นวาย” (empire of chaos) อันเป็นระบบโลกที่ทำงานผิดปกติ และเวลานี้กำลังบ่มเพาะก่อให้เกิดการประทุษร้ายกันและการตอบโต้กันอย่างรุนแรง ตลอดทั่วทั้งตะวันออกกลาง จนขยายเข้าไปในแอฟริกา และแม้กระทั่งดินแดนชายขอบหลายๆ แห่งของยุโรป

ภายในบริบทดังกล่าวนี้ อาการโรคจิตหวาดระแวง “สงครามเย็นครั้งใหม่” จึงกำลังกำเริบทั้งในสหรัฐฯ, ยุโรป, และรัสเซีย มิฮาอิล กอร์บาชอฟ (Mikhail Gorbachev) อดีตผู้นำสหภาพโซเวียตคนสุดท้าย ย่อมต้องเป็นผู้ที่มีความรู้เกี่ยวกับสงครามเย็นอยู่บ้าง (เขาเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการยุติสงครามเย็นลงไปครั้งหนึ่งด้วยซ้ำ) ปรากฏว่าในสถานการณ์เช่นนี้ เขาถึงกับทนไม่ได้ต้องออกโรงมาเตือนภัย เขาบอกว่า วาระของวอชิงตันที่มุ่งหมายจะ “โดดเดี่ยว” รัสเซีย และอาจจะถึงขั้นทำให้รัสเซียพิกลพิการนั้น เป็นสิ่งที่มีอันตรายอย่างที่สุด ถึงแม้ว่าในระยะยาวแล้วความพยายามในเรื่องนี้จะต้องล้มเหลวลงก็ตามที

ณ ขณะเวลานี้ ไม่ว่าจะอยู่ในสภาพอ่อนแอขนาดไหน มอสโกก็ยังคงเป็นมหาอำนาจเพียงรายเดียวซึ่งมีศักยภาพที่จะทำการเจรจาต่อรองเรื่องสมดุลยุทธศาสตร์ระดับโลกกับวอชิงตันได้ และสามารถที่จะจำกัดขนาดขอบเขตบางอย่างบางประการของ “จักรวรรดิแห่งความปั่นป่วนวุ่นวาย” ของอเมริกาลงได้ ส่วนชาติสมาชิกอื่นๆ ของนาโต้ ยังคงเอาแต่เดินตามต้อยๆ แล้วแต่การชักจูงของวอชิงตัน และจีนในตอนนี้ก็ยังคงขาดอิทธิพลบารมีในทางยุทธศาสตร์

รัสเซีย ก็เช่นเดียวกับจีน กำลังวางเดิมพันทุ่มให้แก่การบูรณาการของยูเรเชีย แน่นอนละ ไม่มีใครทราบหรอกว่าทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้จะไปสิ้นสุดลงที่ตรงไหน เพียงเมื่อ 4 ปีก่อน วลาดิมีร์ ปูติน เป็นผู้ที่เสนอให้เจรจาจัดทำข้อตกลงการค้าเสรีในอาณาบริเวณทั่วทั้งยูเรเซีย อันจะกลายเป็น “ประชาคมทางเศรษฐกิจที่มีความสอดคล้องกลมเกลียวกัน ซึ่งแผ่กว้างจากลิสบอนไปจนถึงวลาดิวอลสต็อก” ทว่ามาถึงทุกวันนี้ จากการที่สหรัฐฯ, นาโต้, และรัสเซีย ติดตรึงอยู่ในสมรภูมิที่ทอดเงาดำเหนือยูเครน และมีการต่อสู้เหมือนกับในยุคสงครามเย็น ส่วนสหภาพยุโรปก็ไร้ความสามารถที่จะปลดพันธนาการตนเองออกมาจากนาโต้ ดังนั้น กระบวนทัศน์ (paradigm) ใหม่ที่จะเกิดขึ้นในเฉพาะหน้านี้ จึงมีโอกาสน้อยเหลือเกินที่จะเป็นการบูรณาการกันอย่างเต็มที่ หากแต่น่าจะเป็นความบ้าคลั่งสงคราม ตลอดจนความหวาดกลัวที่ว่าความปั่นป่วนวุ่นวายกำลังแผ่ขยายไปสู่ส่วนอื่นๆ ของมหาทวีปยูเรเชีย

อย่างไรก็ตาม อย่าได้บอกปัดความเป็นไปได้ที่จะเกิดความเปลี่ยนแปลงในพลวัตของสถานการณ์ ในระยะยาวแล้ว หลายสิ่งหลายอย่างดูจะมีความเป็นไปได้ สักวันหนึ่งเยอรมนีอาจจะเป็นผู้นำพาหลายๆ ส่วนของยุโรปให้หลุดพ้นออกมาจาก “หลักเหตุผล” แบบนาโต้ เนื่องจากพวกผู้นำทางธุรกิจและนักอุตสาหกรรมชาวเยอรมัน เป็นพวกที่มีสายตามองเห็นอนาคตทางการพาณิชย์อันสดใสที่อาจเกิดขึ้นได้ในยูเรเชียใหม่ ถึงแม้ในทุกวันนี้ ยูเครนยังคงทำให้เราได้ยินแต่คำพูดเกี่ยวกับสงคราม จนกระทั่งเรื่องนี้อาจจะฟังดูแปลกๆ เพี้ยนๆ แต่การปิดเกมให้สำเร็จก็ยังอาจจะต้องอาศัยการสร้างพันธมิตรระหว่างเบอร์ลิน-มอสโก-ปักกิ่ง ขึ้นมาอยู่นั่นเอง

ในปัจจุบัน ดูจะเห็นกันได้อย่างทนโท่ว่า จะต้องเลือกเอาระหว่างโมเดลที่มีอยู่บนพื้นพิภพของเราเวลานี้รวม 2 โมเดลด้วยกัน นั่นคือ ระหว่าง การบูรณาการของมหาทวีปยูเรเชีย กับการแผ่ขยายจักรวรรดิแห่งความปั่นป่วนวุ่นวาย จีนกับรัสเซียนั้นทราบดีว่าพวกเขาต้องการอะไร ส่วนวอชิงตันก็ดูเหมือนจะทราบเช่นเดียวกัน คำถามจึงมีอยู่ว่า ส่วนอื่นๆ ที่กำลังวิ่งวุ่นละล้าละลังของยูเรเชียนั้น จะเลือกเอาโมเดลไหน?

เปเป้ เอสโคบาร์ เป็นคอลัมนิสต์ของเอเชียไทมส์ออนไลน์ หนังสือเล่มใหม่ล่าสุดของเขาคือเรื่อง Empire of Chaos (Nimble Books, 2014) ติดตามเขาทางเฟซบุ๊กได้ที่ https://www.facebook.com/pepe.escobar.77377

กำลังโหลดความคิดเห็น