(เก็บความจากเอเชียไทมส์ออนไลน์ www.atimes.com)
China’s silky road to glory
By Pepe Escobar
14/11/2014
ถ้าหากยังมีความสงสัยค้างคาใจกันอยู่ ว่าพวกสื่อมวลชนภาคบริษัทของโลกตะวันตกนั้นโง่เขลางี่เง่าจริงหรือไม่ ความข้องใจเหล่านั้นก็ควรจะมลายหายสูญไป เมื่อได้เห็นการเล่นข่าวแบบปัญญาอ่อนของสื่อเหล่านี้ ในเรื่องการประพฤติตนเป็นสุภาพบุรุษของประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย ณ การประชุมระดับสุดยอดของกลุ่มเอเปกในกรุงปักกิ่ง อันที่จริงแล้ว เรื่องที่สอดคล้องยิ่งกว่ามากมายนักหนากับโลกแห่งความเป็นจริง ทว่ากับถูกสื่อเหล่านี้ละเลยเพิกเฉยเสียเป็นส่วนใหญ่ ก็คือข้อเท็จจริงที่ว่า จีนประสบความสำเร็จได้รับสิ่งที่ต้องการในทุกๆ ด้าน ทุกๆ แนวรบทีเดียว
ยังมีความสงสัยค้างคาใจอะไรกันอีกหรือ ว่าพวกสื่อมวลชนภาคบริษัทของโลกตะวันตก (Western corporate media) นั้นมีความโง่เขลางี่เง่าอย่างชนิดไร้ขีดจำกัดขนาดไหนในการนำเสนอข่าว ในเมื่อพวกเขาพากันรายงานว่าไฮไลต์ของการประชุมซัมมิตของกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (Asia-Pacific Economic Cooperation หรือ APEC) ในกรุงปักกิ่ง เมื่อวันที่ 11-12 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ก็คือการที่ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซีย ถูกระบุว่า “แตะเนื้อต้องตัว” ภริยาของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน แล้วเลยส่งผลให้ฝ่ายจีนทำการเซนเซอร์ภาพเหตุการณ์ในขณะที่ ปูติน คลี่ผ้าคลุมไหล่ห่มให้แก่ภริยาของสี ท่ามกลางอากาศอันหนาวเย็นของค่ำคืนที่บรรดาผู้นำของเอเปกและคู่สมรส มารวมตัวเข้าร่วมงานเลี้ยงต้อนรับกันอยู่ พวกสื่อภาคบริษัทของตะวันตกเหล่านี้จะเล่นข่าวอะไรต่อไปล่ะ? ปั้นเรื่องว่า ปูติน กับ สี เป็นคู่เกย์กันเสียเลยดีไหม?
ขอให้เราช่วยกันโยนเรื่องปัญญาอ่อนอย่างนี้ทิ้งไปดีกว่า และหันมาสนใจกับเรื่องที่มีความสำคัญกันอย่างจริงจัง ตั้งแต่ตอนเริ่มต้นกันเลย ประธานาธิบดีสี ได้เรียกร้องให้เอเปก “เติมไม้ฟืนให้แก่กองไฟเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก และเศรษฐกิจโลก” หลังการประชุมซัมมิตทั้ง 2 วันผ่านพ้นไป จีนก็ประสบความสำเร็จได้รับสิ่งที่ต้องการในทุกๆ ด้านทุกๆ แนวรบทีเดียว
ประการแรก) ปักกิ่งสามารถทำให้ประเทศและดินแดนสมาชิกเอเปกทั้ง 21 ราย ให้การรับรองสนับสนุน “เขตการค้าเสรีแห่งเอเชีย-แปซิฟิก” (Free Trade Area of the Asia-Pacific ใช้อักษรย่อว่า FTAAP) อันเป็นวิสัยทัศน์ของฝ่ายจีนที่จะให้จัดทำ ข้อตกลงด้านการค้าซึ่งสามารถผลักดันเดินหน้าความร่วมมือกันในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก และเป็นข้อตกลงชนิดที่ “ทุกๆ ฝ่ายต่างเข้าร่วม ทุกๆ ฝ่ายต่างเป็นผู้ชนะ” (ดูรายละเอียดได้ที่เว็บเพจ http://www.scmp.com/news/china/article/1637765/xi-jinping-unveils-chinas-plan-asia-pacific-wide-free-trade-pact ของ หนังสือพิมพ์เซาท์ไชน่ามอร์นิ่งโพสต์ South China Morning Post เว็บไซต์นี้เป็นระบบต้องสมัครเป็นสมาชิก) ขณะที่ผู้พ่ายแพ้ปราชัยก็คือ ความพยายามที่จะจัดทำ “ข้อตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (Trans-Pacific Partnership ใช้อักษรย่อว่า TPP) ซึ่งมีสหรัฐฯเป็นผู้ผลักดันรายสำคัญที่สุด และมีพวกบริษัทยักษ์ใหญ่คอยกำกับตรวจสอบเพื่อให้สอดคล้องกับผลประโยชน์ความต้องการของพวกเขา โดยที่ในปัจจุบันมี 12 ชาติเข้าร่วมเจรจากันอยู่ ทว่ากำลังถูกหลายๆ รายโต้แย้งคัดค้านหนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ญี่ปุ่น และมาเลเซีย (ดูเพิ่มเติมได้ที่เว็บเพจ http://www.tax-news.com/news/APEC_Leaders_Endorse_FTAAP_Roadmap____66373.html%22)
ประการที่ 2) ปักกิ่งสามารถผลักดัน ร่างแผนการ หรือ “พิมพ์เขียว” ของตน ที่มุ่งจะให้เกิด “การติดต่อเชื่อมโยงกันอย่างรอบด้าน” (all-round connectivity นี่คือวลีที่ สี จิ้นผิง เป็นผู้ใช้) ในตลอดทั่วทั้งเอเชีย-แปซิฟิก ให้คืบหน้าไปได้ พิมพ์เขียวดังกล่าวนี้บ่งชี้ให้เห็นถึงการเดินยุทธศาสตร์แบบก้าวไปหลายๆ ด้านในเวลาเดียวกัน องค์ประกอบที่สำคัญที่สุดประการหนึ่งของร่างแผนการนี้ ได้แก่ การนำเอาธนาคารเพื่อการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานแห่งเอเชีย (Asian Infrastructure Investment Bank) ซึ่งมีเงินทุน 50,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และจะตั้งสำนักงานใหญ่ในกรุงปักกิ่ง ออกมาดำเนินงานอย่างเป็นจริงเป็นจัง โดยที่ธนาคารแห่งนี้คือการตอบโต้ของจีนต่อการที่วอชิงตันยังคงปฏิเสธไม่ยอมให้แดนมังกรมีสิทธิมีเสียงเพิ่มมากขึ้นในกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund หรือ IMF) จากในปัจจุบันที่ปักกิ่งมีน้ำหนักเสียงโหวตเพียงแค่เท่ากับ 3.8% (เป็นสัดส่วนที่น้อยกว่าฝรั่งเศส ซึ่งมีอยู่ 4.5% ทั้งๆ ที่เศรษฐกิจแดนน้ำหอมประสบภาวะติดแหง็กชะงักงันมายาวนาน)
ประการที่ 3) ปักกิ่ง กับ มอสโก ได้ลงนามกันในเอกสารบันทึกความเข้าใจ ที่เป็นข้อตกลงซื้อขายก๊าซธรรมชาติปริมาณมหึมาฉบับที่สอง (ดูรายละเอียดได้ที่เว็บเพจ http://rt.com/business/203679-china-russia-gas-deal/) โดยที่คราวนี้จะมีการลำเลียงผ่านทางสายท่อส่งก๊าซสายใหม่อีกสายหนึ่ง จากบริเวณภาคตะวันตกของไซบีเรีย เรียกชื่อกันว่า สายท่อส่งก๊าซ “อัลไต” (Altai) หลังจากที่สองประเทศได้ทำข้อตกลงซื้อขายก๊าซระดับเมกะดีลฉบับแรกไปแล้วในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา โดยที่จะมีการสร้างและลำเลียงผ่านทางสายท่อส่งก๊าซ จากภาคตะวันออกของไซบีเรีย และใช้ชื่อสายท่อส่งสายนี้ว่า “พาวเวอร์ออฟไซบีเรีย” (Power of Siberia)
ประการที่ 4) ปักกิ่งประกาศแผนการที่จะปล่อยเงินลงทุนไม่ต่ำกว่า 40,000 ล้านดอลลาร์ เพื่อเริ่มต้นสร้าง “แถบเศรษฐกิจเส้นทางสายใหม่” (Silk Road Economic Belt) และ “เส้นทางสายไหมทางทะเลศตวรรษที่ 21” (21st Century Maritime Silk Road)
สามารถทำนายได้อยู่แล้วว่า บรรดาข้อตกลงและการลงทุนที่สับสนวุ่นวายชวนวิงเวียนเหล่านี้ เอาเข้าจริงก็ไม่ใช่กระจัดกระจายจนเกลื่อนกลาดจับต้นชนปลายไม่ถูก หากแต่มีการมาบรรจบรวมตัวกันอยู่ที่โครงการริเริ่มทางด้านโครงสร้างพื้นฐานระดับหลากหลายชาติ ซึ่งเป็นโครงการที่มีขนาดขอบเขตกว้างขวางที่สุด, มองไกลหวังสูงที่สุด, และโดดเด่นน่าตื่นเต้นที่สุด เท่าที่ได้เคยมีความพยายามจัดทำกันมา นั่นก็คือ โครงการเส้นทางสายไหมเส้นใหม่ที่ประกอบด้วยเส้นทางรูปแบบหลายหลากนานา (multiple New Silk Roads) โดยที่เป็นเครือข่ายอันหลากหลายซับซ้อนของทั้งระบบรางรถไฟความเร็วสูง, ระบบสายท่อส่งน้ำมันและก๊าซ, โครงข่ายท่าเรือต่างๆ , โครงข่ายสายเคเบิลเส้นใยนำแสง, ตลอดจนโครงข่ายระบบสื่อสารสุดไฮเทคอื่นๆ โครงข่ายเหล่านี้จำนวนมากทีเดียว จีนกำลังก่อสร้างขึ้นมาแล้วในบรรดารัฐที่ชื่อลงท้ายด้วยคำว่า “สถาน” ทั้งหลายทั่วทั้งเอเชียกลาง และทำการเชื่อมต่อกับทั้งรัสเซีย, อิหร่าน, ตุรกี, และมหาสมุทรอินเดีย รวมทั้งยังแตกแขนงแยกย่อยออกไปสู่ยุโรป ในเส้นทางมุ่งไปยังเมืองเวนิส, รอตเตอร์ดัม, ดุยสบวร์ก, และเบอร์ลิน (ดูรายละเอียดได้ที่เว็บเพจ http://www.chinadaily.com.cn/world/2014livisitgrl/2014-10/18/content_18763272.htm)
ทีนี้ลองจินตนาการดูเถอะ พวกชนชั้นนำของวอชิงตัน/วอลล์สตรีท จะเกิดอาการตื่นตะลึงสยดสยองถึงขั้นอัมพาตจับไปเลยขนาดไหน เมื่อพวกเขาจับจ้องมองมาที่ เส้นทางแห่ง “ความฝันเอเชีย-แปซิฟิก” ของสี จิ้นผิง (ดูรายละเอียดได้ที่เว็บเพจ http://www.chinadaily.com.cn/china/2014-11/09/content_18889698_2.htm) ซึ่งกำลังมีการต่อเชื่อมโยงใยกันชนิดเลยไกลออกไปจากเอเชียตะวันออกเสียอีก โดยที่จะเดินหน้ามุ่งเข้าสู่การค้าตลอดทั่วทั้งยูเรเชีย (Eurasia แผ่นดินใหญ่ที่เชื่อมเป็นผืนเดียวกันของทวีปยุโรปและทวีปเอเชีย) –และแน่นอนว่ามีแดนมังกรเป็นศูนย์กลาง ในอนาคตอันไม่ไกลนี้แหละ ยูเรเชียจะกลายเป็น แถบเศรษฐกิจสายไหมอันใหญ่โตมหาศาลของจีน โดยที่ในหลายๆ ส่วนทีเดียว จะเป็นการพัฒนาในรูปลักษณ์ของการมีกรรมสิทธิ์ร่วมกันกับรัสเซีย
**ปูตินไม่ได้ทำเรื่องงี่เง่า**
ในขณะที่สื่อมวลชนภาคบริษัทของตะวันตกพยายามสร้างภาพลักษณ์ของ ปูติน ให้กลายเป็นบุรุษเจ้าชู้ประตูดินอย่าง “ดอน ฆวน” (Don Juan) ขึ้นมานั้น เราสามารถที่จะมองฝ่าทะลุไปจนเห็นตัวจริงของเขาได้ไม่ยากเย็น ในระหว่างที่เขากล่าวคำปราศรัยต่อการประชุม “เอเปก ซีอีโอ ซัมมิต” (APEC CEO summit) ที่กรุงปักกิ่งเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเอเปกซัมมิตคราวนี้นั้น เขาได้เสนอเอวว่า สำหรับรัสเซียแล้ว เอเชีย-แปซิฟิกคือจุดที่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์/เศรษฐกิจในลำดับต้นๆ ทีเดียว (ดูรายละเอียดคำปราศรัยนี้ได้ที่เว็บเพจ http://www.globalresearch.ca/putins-asia-pacific-economic-cooperation-apec-summit-speech-trade-in-rubles-yuan-will-weaken-dollars-influence/5413432)
อันที่จริงแล้ว คำปราศรัยคราวนี้ก็เป็นการปรับปรุงให้ทันสมัยยิ่งขึ้นโดยเฉพาะในเนื้อหาด้านเศรษฐกิจ จากคำปราศรัยที่โด่งดังเกรียวกราวของเขา ซึ่งเขาพูดไว้ ณ การประชุมของสโมสรวัลได (Valdai Club) ที่เมืองโซชิ (Sochi) ประเทศรัสเซีย เมื่อวันที่ 24 ตุลาคมที่ผ่านมา (ดูรายละเอียดได้ที่เว็บเพจ http://eng.kremlin.ru/news/23137) จากนั้นยังติดตามด้วยช่วง ถาม-ตอบ ซึ่งปูตินพูดถึงเรื่องต่างๆ อย่างกว้างขวาง ทว่าสื่อมวลชนภาคบริษัทของฝ่ายตะวันตกเพิกเฉยไม่แยแสสนใจตามเคย (หรือไม่ก็รายงานข่าวนี้โดยปั้นแต่งว่าเป็นเรื่องการแสดง “ความก้าวร้าว” เพิ่มมากขึ้นของ ปูติน ไปอย่างเคยๆ)
จากคำปราศรัยเหล่านี้ของ ปูติน บ่งบอกอย่างชัดเจนว่า วังเครมลินมีข้อสรุปอย่างหนักแน่นมั่นคงแล้วว่า พวกชนชั้นนำวอชิงตัน/วอลล์สตรีท ไม่ได้มีเจตนารมณ์แม้แต่นิดเดียวที่จะยินยอมเปิดทางให้เกิดภาวะหลายขั้วอำนาจขึ้นมาในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (แม้กระทั่งภาวะหลายขั้วอำนาจในขนาดขอบเขตขั้นต่ำที่สุด) ดังนั้น รัสเซียจึงต้องดำเนินการปรับเปลี่ยนอันจำเป็นของตนเอง
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า มอสโกนั้นกำลังถอนหมุดถอยห่างออกจากฝ่ายตะวันตก และมุ่งหน้าไปหาเอเชียตะวันออก กระบวนการนี้เมื่อมองกันอย่างขำๆ ควรจะถือได้กระมังว่าได้รับอิทธิพลโดยตรงมาจากหลักการด้านนโยบายการต่างประเทศของประธานาธิบดีบารัค โอบามา ทั้งนี้ตัวโอบามาเองแหละ พูดสรุปถึงหลักการดังกล่าวนี้ของเขาว่า คือ “อย่ากระทำเรื่องที่โง่เขลางี่เง่า” (Don't Do Stupid Stuff) เล่ากันว่าเขาเกิด “ปิ๊ง” สูตรนี้ขึ้นมา ในระหว่างอยู่บนเครื่องบินประจำตำแหน่ง “แอร์ฟอร์ซวัน” (Air Force One) ช่วงเดินทางกลับบ้านเดือนเมษายนปีที่แล้ว ภายหลังเสร็จสิ้นการเดินทางไปเยือนเอเชีย และพร่ำพรรณนาให้พวกผู้สื่อข่าวซึ่งติดตามเขาไปทำข่าว ฟังอย่างครื้มอกครื้นใจ
สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในเวลานี้ คือรัสเซียกับจีนกำลังจับมือเป็นหุ้นส่วนแบบอยู่ร่วมกันพึ่งพาอาศัยกันและก็เป็นหุ้นส่วนในทางยุทธศาสตร์ (symbiosis/strategic partnership) หุ้นส่วนดังกล่าวนี้กำลังพัฒนาไปในหลายๆ ระดับหลายๆ มิติ
ในด้านพลังงาน รัสเซียกำลังเลี้ยวไปทางตะวันออก เนื่องจากทิศทางนี้แหละที่กำลังมีความต้องการน้ำมันและก๊าซของแดนหมีขาวสูงที่สุด ส่วนในด้านการเงิน มอสโกกำลังยุติการนำเอาเงินสกุลรูเบิลของตนไปผูกติดอยู่กับดอลลาร์สหรัฐฯและยูโร และก็ไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจอะไรที่เงินดอลลาร์สหรัฐฯ มีค่าลดลงทันทีเมื่อเทียบกับรูเบิล (ถึงแม้อาจจะตกลงมาเพียงช่วงสั้นๆ ก็ตามที) ขณะที่ วีทีบี (VTB) ธนาคารของรัสเซียประกาศว่าอาจจะถอนตัวออกจากตลาดหลักทรัพย์ลอนดอน และเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้แทน (โดยที่ตลาดเซี่ยงไฮ้ก็กำลังเริ่มกระบวนการเชื่อมต่อโดยตรงกับตลาดฮ่องกงแล้ว) นอกจากนั้นในส่วนของตลาดฮ่องกงเอง ก็กำลังดึงดูดความสนใจของพวกบริษัทยักษ์ใหญ่พลังงานของรัสเซีย ให้ไปจดทะเบียนด้วยเช่นกัน (ดูรายละเอียดที่เว็บเพจ http://sputniknews.com/business/20141108/195319981/Russian-Energy-Giants-Consider-Listing-Securities-on-Hong-Kong.html)
คราวนี้เมื่อลองเขย่าพัฒนาการสำคัญๆ ทั้งหมดเหล่านี้ เข้ากับข้อตกลงด้านพลังงานฉบับมหึมา 2 ฉบับซ้อนซึ่งกำหนดที่จะใช้สกุลเงินหยวน-รูเบิล ภาพก็จะออกมาอย่างชัดเจนทีเดียวว่า การหันมาจับมือเป็นหุ้นส่วนกับจีนนั้น เป็นการที่รัสเซียมองหาทางปกป้องคุ้มครองตนเองอย่างเป็นฝ่ายรุกไปด้วย เพื่อให้หลีกพ้นการถูกโจมตีสกุลเงินจากฝ่ายตะวันตกที่มีแรงจูงใจทั้งจากการเก็งกำไรและจุดมุ่งหมายทางการเมือง
แต่นอกจากความเป็นหุ้นส่วนระหว่างรัสเซียกับจีน ในแบบอยู่ร่วมกันพึ่งพาอาศัยกัน และก็เป็นหุ้นส่วนในทางยุทธศาสตร์ไปด้วย กำลังขยายไปในด้านพลังงานและการเงินอย่างเห็นได้ชัดๆ ดังกล่าวนี้แล้ว สิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เลยก็คือมันยังจะแผ่ขยายไปถึงด้านเทคโนโลยีการทหารอีกด้วย ในเรื่องหลังนี้ พัฒนาการอันสำคัญอย่างยิ่งยวด ได้แก่การที่มอสโกกำลังตกลงขายระบบการป้องกันทางอากาศแบบ เอส-400 (S-400 air defense system) ให้แก่ปักกิ่ง รวมทั้งจะขายระบบเอส-500 ในอนาคตด้วย แน่นอนทีเดียว อาวุธเหล่านี้เมื่อจีนได้ไปจะต้องมุ่งเล็งเป้าหมายเข้าใส่ฝ่ายอเมริกัน ทั้งนี้ต้องไม่ลืมว่า ปักกิ่งเองก็กำลังพัฒนาขีปนาวุธยิงจากภาคพื้นดินสู่เรือ (surface-to-ship missiles) ซึ่งสามารถที่จะใช้เล่นงานทุกสิ่งทุกอย่างที่กองทัพเรือสหรัฐฯจะสะสมรวบรวมขึ้นมาได้
กระนั้นก็ตาม ณ การประชุมเอเปกคราวนี้ อย่างน้อยที่สุด สี กับ โอบามา ยังตกลงกันได้ที่จะจัดตั้งกลไกร่วมระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ซึ่งจะคอยแจ้งการปฏิบัติการทางทหารสำคัญๆ ให้อีกฝ่ายหนึ่งรับทราบ วาดหวังกันไว้ว่า กลไกร่วมดังกล่าวนี้ คงจะ (ในโลกของการปฏิบัติการที่เป็นจริงนั้น ระดับของคำยืนยันรับรองที่จะใช้ได้ก็แค่ “คงจะ” เท่านั้นแหละ) ป้องกันไม่ให้เอเชียตะวันออก เกิดเหตุการณ์ทำนองเดียวกับที่เกิดขึ้นกับรัสเซีย อันเป็นสิ่งที่นาโต้ยังคงกำลังร้องครวญครางไม่ยอมหยุดว่า “รัสเซียรุกรานยูเครน” ได้กระมัง!
**“ไปไกลๆ เลย” เจ้าพวกนีโอคอน**
เมื่อตอนที่ จอร์จ ดับเบิลยู บุช ขึ้นครองอำนาจตอนต้นปี 2001 นั้น พวกนีโอคอน (neo-cons คำเต็มๆ คือ neo-conservatives พวกอนุรักษนิยมใหม่) กำลังเผชิญหน้ากับความจริงที่แสนจะโจ่งแจ้ง นั่นคือ สหรัฐฯกำลังจะต้องสูญเสียฐานะความเป็นเจ้านายทางด้านภูมิรัฐศาสตร์และเจ้านายทางด้านเศรษฐกิจของโลกไปอย่างไม่มีทางหวนกลับคืนมาได้อีก การสูญเสียดังกล่าวนี้ไม่ใช่สิ่งที่จะมาตั้งคำถามกันว่ามันจะเกิดขึ้นหรือไม่ มีแต่ว่าเมื่อใดเท่านั้น ด้วยเหตุนี้เอง พวกเขาจึงมีทางเลือกเพียง 2 ทาง ทางหนึ่งคือพยายามบริหารจัดการความเสื่อมทรุดเพื่อให้ดำเนินไปอย่างค่อนข้างราบรื่นไม่เกิดความรุนแรง ส่วนอีกทางหนึ่งคือการทุ่มเดิมพันทั้งหมดที่มีอยู่เพื่อพยายามกระชับฐานะความเป็นเจ้านายของโลกเอาไว้ให้แน่นเหนียวมั่นคงต่อไป ทั้งนี้ด้วยการใช้อาวุธอันร้ายกาจ อย่างเช่นสงคราม
ถึงเวลานี้ พวกเราต่างทราบกันเป็นอันดีแล้ว ในเรื่องความฝันลมๆ แล้งๆ ของพวกนีโอคอน เมื่อตอนที่พวกเขาผลักดันให้ทำสงคราม “ค่าใช้จ่ายต่ำ” (low-cost) ขึ้นในอิรัก ไม่ว่าจะเป็นความเพ้อฝันว่าด้วย “เราคือองค์การโอเปกแห่งใหม่” (We are the new OPEC) ของ พอล วูลโฟวิตซ์ (Paul Wolfowitz) ไปจนถึงแฟนตาซีที่ว่าวอชิงตันกำลังสามารถขู่กรรโชกพวกที่อาจกลายเป็นผู้ท้าทายอำนาจของตนทั้งหลายได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดทุกราย ไม่ว่าจะเป็น อียู (สหภาพยุโรป), รัสเซีย, หรือว่าจีน
รวมทั้งพวกเราทั้งหลายต่างก็ทราบแล้วว่า การกระทำอันเกิดจากความเพ้อฝันเหล่านั้น ได้นำไปสู่ความผิดพลาดอย่างฉกาจฉกรรจ์ขนาดไหน อย่างที่ หมินฉี หลี่ (Minqi Li) วิเคราะห์เอาไว้ในหนังสือเรื่อง “The Rise of China and the Demise of the Capitalist World Economy” (การก้าวผงาดของจีนและการสิ้นชีพของเศรษฐกิจโลกนายทุน) ของเขา การผจญภัยชนิดที่ต้องทุ่มเทสิ้นเปลืองระดับล้านล้านดอลลาร์เช่นนั้น กลับกลายเป็นการ “ตัดทอนพื้นที่ซึ่งจักรวรรดินิยมสหรัฐฯยังพอมีเหลืออยู่ สำหรับดำเนินการเคลื่อนไหวทางยุทธศาสตร์” กระนั้นก็ตาม คณะรัฐบาลโอบามาซึ่งเป็น “นักจักรวรรดินิยมที่แสดงรูปโฉมเป็นนักมนุษยธรรม” (humanitarian imperialists) ยังคงไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ ยังคงปฏิเสธที่จะยอมรับว่าสหรัฐฯนั้นได้สูญเสียความสามารถทุกสิ่งทุกอย่าง ที่จะเสนอหนทางออกอันมีความหมายใดๆ ให้แก่ สิ่งที่ อิมมานูเอล วอลเลอร์สไตน์ (Immanuel Wallerstein) คงจะเรียกว่า เป็น “ระบบโลก” (world-system) ปัจจุบัน
ในแวดวงวิชาการของสหรัฐฯนั้น มีสัญญาณปรากฏออกมาอยู่บ้าง ว่ายังคงมีผู้มีปัญญาช่างขบคิดในทางภูมิรัฐศาสตร์ที่แหลมคมน่าสนใจ เป็นต้นว่าในเว็บเพจแนะนำหนังสือเรื่อง The Sino-Russian Challenge to the World Order: National Identities, Bilateral Relations, and East versus West in the 2010s (http://www.wilsoncenter.org/book/the-sino-russian-challenge-to-the-world-order-national-identities-bilateral-relations-and-east) ของเว็บไซต์ “ศูนย์วิลสัน” (Wilson Center) ถึงแม้คงต้องท้วงติงว่า รัสเซียกับจีนนั้น ไม่ได้เป็น “ความท้าทาย” ต่อสิ่งที่ทึกทักกันว่าเป็น “ระเบียบ” โลก อย่างที่กล่าวไว้ในหนังสือเล่มนี้ อันที่จริงแล้ว ความเป็นหุ้นส่วนกันระหว่างมอสโกปักกิ่ง กำลังเดินหน้าไปในทิศทางที่จะสร้างระเบียบบางประการขึ้นมา ท่ามกลางความปั่นป่วนวุ่นวายในเวลานี้ด้วยซ้ำไป
อย่างไรก็ตาม บทความอย่างเรื่อง China's Long Road to Superpower Status ที่ปรากฏในเว็บไซต์ของ “ยูเอสนิวส์” (USNews) (ดูรายละเอียดบทความนี้ได้ที่ http://www.usnews.com/opinion/blogs/world-report/2014/11/10/china-is-not-the-next-global-superpower) กลับเป็นตัวอย่างอันแท้จริงของสิ่งที่อ้างกันว่าเป็น “บทวิเคราะห์” ทางวิชาการ ชนิดซึ่งนำมาเผยแพร่กันไปทั่วในสื่อมวลชนของสหรัฐฯ
ที่ร้ายที่สุดคือ พวกชนชั้นนำวอชิงตัน/วอลล์สตรีท (ผ่านทางคลังสมองผ่านทางสำนักวิจัยอันมีวิสัยทัศน์แสนจะคับแคบของพวกเขา) ยังคงยึดติดอยู่กับมายาการอันซ้ำซากจำเจทั้งหลาย อย่างเช่น การที่ชอบอ้างกันว่าสหรัฐฯมีบทบาท “ทางประวัติศาสตร์” ในการเป็น”ผู้ตัดสินชี้ขาดของเอเชียแห่งยุคใหม่” และเป็น “ผู้ถ่วงดุลอำนาจรายสำคัญที่สุด”
จากสภาวการณ์เช่นนี้ จึงไม่น่าประหลาดใจอะไรที่ว่า มติมหาชนในสหรัฐฯ (และในยุโรปตะวันตกด้วย) ยังคงไม่สามารถแม้แต่จะจินตนาการถึงผลกระทบอันสะท้านฟ้าสะเทือนดินของ “เส้นทางสายไหมเส้นใหม่” ซึ่งจะมีต่อภูมิรัฐศาสตร์แห่งยุคศตวรรษที่ 21
พวกชนชั้นนำวอชิงตัน/วอลล์สตรีท ซึ่งยังคงติดนิสัยอหังการ์ในยุคสงครามเย็น จึงมักมองแบบผ่านๆ เพียงแค่ว่าปักกิ่งกับมอสโกจะไม่มีทางจับมืออะไรกันได้จริงๆ และจะต้องแยกห่างจากกันอย่างสิ้นเชิง มาถึงเวลานี้ ความงุนงงสับสนจับต้นชนปลายไม่ถูก จึงกำลังครอบงำไปทั่ว จำได้ไหม ในตอนที่คณะรัฐบาลโอบามา เสนอยุทธศาสตร์ “ปักหลุดสู่เอเชีย” (pivot to Asia) แล้วก็ต้องรีบลบวลีนี้ทิ้งแทบไม่ทัน หลังจากปักกิ่งโจมตีแบบตีแสกหน้าว่า มันคือการแสดงท่าทียั่วยุแบบมุ่งทำสงคราม (ซึ่งมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ เสียด้วย) มาถึงตอนนี้วอชิงตันจึงต้องประดิษฐ์วลีใหม่เกี่ยวกับแนวคิดนี้ออกมา นั่นคือ “การสร้างความสมดุลใหม่” (rebalance)
สำหรับพวกธุรกิจเยอรมัน นั้น กำลังอยู่ในอาการวิกลจริตไปเลย เมื่อได้รับฟังแนวความคิดของ สี จิ้นผิง ในเรื่องเส้นทางสายไหมเส้นใหม่ ซึ่งกำลังจะเชื่อมต่อปักกิ่งเข้ากับเบอร์ลิน โดยจุดสำคัญอย่างที่สุดก็คือ จะผ่านทางมอสโก ในไม่ช้าก็เร็วนี้แหละ พวกนักการเมืองชาวเยอรมันก็จะต้องตระหนักและเข้าใจ “ข้อความ” นี้
สิ่งต่างๆ ทั้งหมดเหล่านี้ คาดหมายได้ว่าคงถูกนำมาอภิปรายหารือกันเป็นการภายใน ณ การประชุมสำคัญๆ ซึ่งจัดขึ้นข้างเคียงการประชุมซัมมิตของกลุ่ม 20 ประเทศเศรษฐกิจสำคัญของโลก (จี-20) ในวันที่ 15-16 พฤศจิกายนนี้ ที่เมืองบริสเบน, ออสเตรเลีย พันธมิตรระหว่างรัสเซีย-จีน-เยอรมนี จะก่อตัวขึ้นมาได้แค่ไหน จะรู้กันที่นั่น กลุ่มบริกส์ (BRICS) เกิดวิกฤตหรือไม่มีวิกฤตกันแน่ ก็จะรู้กันที่นั่น พวกผู้เล่นทั้งหมดในกลุ่ม จี-20 ซึ่งกำลังทำงานกันอย่างกระตือรือร้นเพื่อมุ่งสู่โลกที่มีขั้วอำนาจหลายๆ ขั้ว ก็จะอยู่กันที่นั่น
เป็นอีกครั้งหนึ่งซึ่ง ซัมมิตเอเปก แสดงให้เห็นว่า ยิ่งมีการเปลี่ยนแปลงทางภูมิรัฐศาสตร์มากเท่าไร เอเปกก็ยิ่งจะไม่ดำรงคงอยู่ในรูปเดิมๆ และยิ่งพวกที่ชอบอ้างว่าประเทศตนคือสิ่งพิเศษเป็นข้อยกเว้นของโลก เที่ยวเห่ากรรโชกท้าทายทำสงคราม, เที่ยวธำรงรักษาภาวะความไม่เสมอภาค, ตลอดจนการแบ่งแยกแล้วปกครองเอาไว้ กองคาราวานของจีน-รัสเซีย ที่แผ่คลุมไปทั่วยูเรเซีย ก็จะยิ่งเดินหน้า, เดินหน้า, เดินหน้า ต่อไปบนถนน (แห่งการมีโลกหลายขั้วอำนาจ)
เปเป้ เอสโคบาร์ เป็นคอลัมนิสต์ของเอเชียไทมส์ออนไลน์ เขาเป็นผู้เขียนหนังสือเรื่อง Globalistan: How the Globalized World is Dissolving into Liquid War (Nimble Books, 2007), Red Zone Blues: a snapshot of Baghdad during the surge (Nimble Books, 2007), และ Obama does Globalistan (Nimble Books, 2009) ทั้งนี้สามารถติดต่อเขาทางอีเมลได้ที่ pepeasia@yahoo.com
China’s silky road to glory
By Pepe Escobar
14/11/2014
ถ้าหากยังมีความสงสัยค้างคาใจกันอยู่ ว่าพวกสื่อมวลชนภาคบริษัทของโลกตะวันตกนั้นโง่เขลางี่เง่าจริงหรือไม่ ความข้องใจเหล่านั้นก็ควรจะมลายหายสูญไป เมื่อได้เห็นการเล่นข่าวแบบปัญญาอ่อนของสื่อเหล่านี้ ในเรื่องการประพฤติตนเป็นสุภาพบุรุษของประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย ณ การประชุมระดับสุดยอดของกลุ่มเอเปกในกรุงปักกิ่ง อันที่จริงแล้ว เรื่องที่สอดคล้องยิ่งกว่ามากมายนักหนากับโลกแห่งความเป็นจริง ทว่ากับถูกสื่อเหล่านี้ละเลยเพิกเฉยเสียเป็นส่วนใหญ่ ก็คือข้อเท็จจริงที่ว่า จีนประสบความสำเร็จได้รับสิ่งที่ต้องการในทุกๆ ด้าน ทุกๆ แนวรบทีเดียว
ยังมีความสงสัยค้างคาใจอะไรกันอีกหรือ ว่าพวกสื่อมวลชนภาคบริษัทของโลกตะวันตก (Western corporate media) นั้นมีความโง่เขลางี่เง่าอย่างชนิดไร้ขีดจำกัดขนาดไหนในการนำเสนอข่าว ในเมื่อพวกเขาพากันรายงานว่าไฮไลต์ของการประชุมซัมมิตของกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (Asia-Pacific Economic Cooperation หรือ APEC) ในกรุงปักกิ่ง เมื่อวันที่ 11-12 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ก็คือการที่ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซีย ถูกระบุว่า “แตะเนื้อต้องตัว” ภริยาของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน แล้วเลยส่งผลให้ฝ่ายจีนทำการเซนเซอร์ภาพเหตุการณ์ในขณะที่ ปูติน คลี่ผ้าคลุมไหล่ห่มให้แก่ภริยาของสี ท่ามกลางอากาศอันหนาวเย็นของค่ำคืนที่บรรดาผู้นำของเอเปกและคู่สมรส มารวมตัวเข้าร่วมงานเลี้ยงต้อนรับกันอยู่ พวกสื่อภาคบริษัทของตะวันตกเหล่านี้จะเล่นข่าวอะไรต่อไปล่ะ? ปั้นเรื่องว่า ปูติน กับ สี เป็นคู่เกย์กันเสียเลยดีไหม?
ขอให้เราช่วยกันโยนเรื่องปัญญาอ่อนอย่างนี้ทิ้งไปดีกว่า และหันมาสนใจกับเรื่องที่มีความสำคัญกันอย่างจริงจัง ตั้งแต่ตอนเริ่มต้นกันเลย ประธานาธิบดีสี ได้เรียกร้องให้เอเปก “เติมไม้ฟืนให้แก่กองไฟเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก และเศรษฐกิจโลก” หลังการประชุมซัมมิตทั้ง 2 วันผ่านพ้นไป จีนก็ประสบความสำเร็จได้รับสิ่งที่ต้องการในทุกๆ ด้านทุกๆ แนวรบทีเดียว
ประการแรก) ปักกิ่งสามารถทำให้ประเทศและดินแดนสมาชิกเอเปกทั้ง 21 ราย ให้การรับรองสนับสนุน “เขตการค้าเสรีแห่งเอเชีย-แปซิฟิก” (Free Trade Area of the Asia-Pacific ใช้อักษรย่อว่า FTAAP) อันเป็นวิสัยทัศน์ของฝ่ายจีนที่จะให้จัดทำ ข้อตกลงด้านการค้าซึ่งสามารถผลักดันเดินหน้าความร่วมมือกันในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก และเป็นข้อตกลงชนิดที่ “ทุกๆ ฝ่ายต่างเข้าร่วม ทุกๆ ฝ่ายต่างเป็นผู้ชนะ” (ดูรายละเอียดได้ที่เว็บเพจ http://www.scmp.com/news/china/article/1637765/xi-jinping-unveils-chinas-plan-asia-pacific-wide-free-trade-pact ของ หนังสือพิมพ์เซาท์ไชน่ามอร์นิ่งโพสต์ South China Morning Post เว็บไซต์นี้เป็นระบบต้องสมัครเป็นสมาชิก) ขณะที่ผู้พ่ายแพ้ปราชัยก็คือ ความพยายามที่จะจัดทำ “ข้อตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (Trans-Pacific Partnership ใช้อักษรย่อว่า TPP) ซึ่งมีสหรัฐฯเป็นผู้ผลักดันรายสำคัญที่สุด และมีพวกบริษัทยักษ์ใหญ่คอยกำกับตรวจสอบเพื่อให้สอดคล้องกับผลประโยชน์ความต้องการของพวกเขา โดยที่ในปัจจุบันมี 12 ชาติเข้าร่วมเจรจากันอยู่ ทว่ากำลังถูกหลายๆ รายโต้แย้งคัดค้านหนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ญี่ปุ่น และมาเลเซีย (ดูเพิ่มเติมได้ที่เว็บเพจ http://www.tax-news.com/news/APEC_Leaders_Endorse_FTAAP_Roadmap____66373.html%22)
ประการที่ 2) ปักกิ่งสามารถผลักดัน ร่างแผนการ หรือ “พิมพ์เขียว” ของตน ที่มุ่งจะให้เกิด “การติดต่อเชื่อมโยงกันอย่างรอบด้าน” (all-round connectivity นี่คือวลีที่ สี จิ้นผิง เป็นผู้ใช้) ในตลอดทั่วทั้งเอเชีย-แปซิฟิก ให้คืบหน้าไปได้ พิมพ์เขียวดังกล่าวนี้บ่งชี้ให้เห็นถึงการเดินยุทธศาสตร์แบบก้าวไปหลายๆ ด้านในเวลาเดียวกัน องค์ประกอบที่สำคัญที่สุดประการหนึ่งของร่างแผนการนี้ ได้แก่ การนำเอาธนาคารเพื่อการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานแห่งเอเชีย (Asian Infrastructure Investment Bank) ซึ่งมีเงินทุน 50,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และจะตั้งสำนักงานใหญ่ในกรุงปักกิ่ง ออกมาดำเนินงานอย่างเป็นจริงเป็นจัง โดยที่ธนาคารแห่งนี้คือการตอบโต้ของจีนต่อการที่วอชิงตันยังคงปฏิเสธไม่ยอมให้แดนมังกรมีสิทธิมีเสียงเพิ่มมากขึ้นในกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund หรือ IMF) จากในปัจจุบันที่ปักกิ่งมีน้ำหนักเสียงโหวตเพียงแค่เท่ากับ 3.8% (เป็นสัดส่วนที่น้อยกว่าฝรั่งเศส ซึ่งมีอยู่ 4.5% ทั้งๆ ที่เศรษฐกิจแดนน้ำหอมประสบภาวะติดแหง็กชะงักงันมายาวนาน)
ประการที่ 3) ปักกิ่ง กับ มอสโก ได้ลงนามกันในเอกสารบันทึกความเข้าใจ ที่เป็นข้อตกลงซื้อขายก๊าซธรรมชาติปริมาณมหึมาฉบับที่สอง (ดูรายละเอียดได้ที่เว็บเพจ http://rt.com/business/203679-china-russia-gas-deal/) โดยที่คราวนี้จะมีการลำเลียงผ่านทางสายท่อส่งก๊าซสายใหม่อีกสายหนึ่ง จากบริเวณภาคตะวันตกของไซบีเรีย เรียกชื่อกันว่า สายท่อส่งก๊าซ “อัลไต” (Altai) หลังจากที่สองประเทศได้ทำข้อตกลงซื้อขายก๊าซระดับเมกะดีลฉบับแรกไปแล้วในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา โดยที่จะมีการสร้างและลำเลียงผ่านทางสายท่อส่งก๊าซ จากภาคตะวันออกของไซบีเรีย และใช้ชื่อสายท่อส่งสายนี้ว่า “พาวเวอร์ออฟไซบีเรีย” (Power of Siberia)
ประการที่ 4) ปักกิ่งประกาศแผนการที่จะปล่อยเงินลงทุนไม่ต่ำกว่า 40,000 ล้านดอลลาร์ เพื่อเริ่มต้นสร้าง “แถบเศรษฐกิจเส้นทางสายใหม่” (Silk Road Economic Belt) และ “เส้นทางสายไหมทางทะเลศตวรรษที่ 21” (21st Century Maritime Silk Road)
สามารถทำนายได้อยู่แล้วว่า บรรดาข้อตกลงและการลงทุนที่สับสนวุ่นวายชวนวิงเวียนเหล่านี้ เอาเข้าจริงก็ไม่ใช่กระจัดกระจายจนเกลื่อนกลาดจับต้นชนปลายไม่ถูก หากแต่มีการมาบรรจบรวมตัวกันอยู่ที่โครงการริเริ่มทางด้านโครงสร้างพื้นฐานระดับหลากหลายชาติ ซึ่งเป็นโครงการที่มีขนาดขอบเขตกว้างขวางที่สุด, มองไกลหวังสูงที่สุด, และโดดเด่นน่าตื่นเต้นที่สุด เท่าที่ได้เคยมีความพยายามจัดทำกันมา นั่นก็คือ โครงการเส้นทางสายไหมเส้นใหม่ที่ประกอบด้วยเส้นทางรูปแบบหลายหลากนานา (multiple New Silk Roads) โดยที่เป็นเครือข่ายอันหลากหลายซับซ้อนของทั้งระบบรางรถไฟความเร็วสูง, ระบบสายท่อส่งน้ำมันและก๊าซ, โครงข่ายท่าเรือต่างๆ , โครงข่ายสายเคเบิลเส้นใยนำแสง, ตลอดจนโครงข่ายระบบสื่อสารสุดไฮเทคอื่นๆ โครงข่ายเหล่านี้จำนวนมากทีเดียว จีนกำลังก่อสร้างขึ้นมาแล้วในบรรดารัฐที่ชื่อลงท้ายด้วยคำว่า “สถาน” ทั้งหลายทั่วทั้งเอเชียกลาง และทำการเชื่อมต่อกับทั้งรัสเซีย, อิหร่าน, ตุรกี, และมหาสมุทรอินเดีย รวมทั้งยังแตกแขนงแยกย่อยออกไปสู่ยุโรป ในเส้นทางมุ่งไปยังเมืองเวนิส, รอตเตอร์ดัม, ดุยสบวร์ก, และเบอร์ลิน (ดูรายละเอียดได้ที่เว็บเพจ http://www.chinadaily.com.cn/world/2014livisitgrl/2014-10/18/content_18763272.htm)
ทีนี้ลองจินตนาการดูเถอะ พวกชนชั้นนำของวอชิงตัน/วอลล์สตรีท จะเกิดอาการตื่นตะลึงสยดสยองถึงขั้นอัมพาตจับไปเลยขนาดไหน เมื่อพวกเขาจับจ้องมองมาที่ เส้นทางแห่ง “ความฝันเอเชีย-แปซิฟิก” ของสี จิ้นผิง (ดูรายละเอียดได้ที่เว็บเพจ http://www.chinadaily.com.cn/china/2014-11/09/content_18889698_2.htm) ซึ่งกำลังมีการต่อเชื่อมโยงใยกันชนิดเลยไกลออกไปจากเอเชียตะวันออกเสียอีก โดยที่จะเดินหน้ามุ่งเข้าสู่การค้าตลอดทั่วทั้งยูเรเชีย (Eurasia แผ่นดินใหญ่ที่เชื่อมเป็นผืนเดียวกันของทวีปยุโรปและทวีปเอเชีย) –และแน่นอนว่ามีแดนมังกรเป็นศูนย์กลาง ในอนาคตอันไม่ไกลนี้แหละ ยูเรเชียจะกลายเป็น แถบเศรษฐกิจสายไหมอันใหญ่โตมหาศาลของจีน โดยที่ในหลายๆ ส่วนทีเดียว จะเป็นการพัฒนาในรูปลักษณ์ของการมีกรรมสิทธิ์ร่วมกันกับรัสเซีย
**ปูตินไม่ได้ทำเรื่องงี่เง่า**
ในขณะที่สื่อมวลชนภาคบริษัทของตะวันตกพยายามสร้างภาพลักษณ์ของ ปูติน ให้กลายเป็นบุรุษเจ้าชู้ประตูดินอย่าง “ดอน ฆวน” (Don Juan) ขึ้นมานั้น เราสามารถที่จะมองฝ่าทะลุไปจนเห็นตัวจริงของเขาได้ไม่ยากเย็น ในระหว่างที่เขากล่าวคำปราศรัยต่อการประชุม “เอเปก ซีอีโอ ซัมมิต” (APEC CEO summit) ที่กรุงปักกิ่งเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเอเปกซัมมิตคราวนี้นั้น เขาได้เสนอเอวว่า สำหรับรัสเซียแล้ว เอเชีย-แปซิฟิกคือจุดที่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์/เศรษฐกิจในลำดับต้นๆ ทีเดียว (ดูรายละเอียดคำปราศรัยนี้ได้ที่เว็บเพจ http://www.globalresearch.ca/putins-asia-pacific-economic-cooperation-apec-summit-speech-trade-in-rubles-yuan-will-weaken-dollars-influence/5413432)
อันที่จริงแล้ว คำปราศรัยคราวนี้ก็เป็นการปรับปรุงให้ทันสมัยยิ่งขึ้นโดยเฉพาะในเนื้อหาด้านเศรษฐกิจ จากคำปราศรัยที่โด่งดังเกรียวกราวของเขา ซึ่งเขาพูดไว้ ณ การประชุมของสโมสรวัลได (Valdai Club) ที่เมืองโซชิ (Sochi) ประเทศรัสเซีย เมื่อวันที่ 24 ตุลาคมที่ผ่านมา (ดูรายละเอียดได้ที่เว็บเพจ http://eng.kremlin.ru/news/23137) จากนั้นยังติดตามด้วยช่วง ถาม-ตอบ ซึ่งปูตินพูดถึงเรื่องต่างๆ อย่างกว้างขวาง ทว่าสื่อมวลชนภาคบริษัทของฝ่ายตะวันตกเพิกเฉยไม่แยแสสนใจตามเคย (หรือไม่ก็รายงานข่าวนี้โดยปั้นแต่งว่าเป็นเรื่องการแสดง “ความก้าวร้าว” เพิ่มมากขึ้นของ ปูติน ไปอย่างเคยๆ)
จากคำปราศรัยเหล่านี้ของ ปูติน บ่งบอกอย่างชัดเจนว่า วังเครมลินมีข้อสรุปอย่างหนักแน่นมั่นคงแล้วว่า พวกชนชั้นนำวอชิงตัน/วอลล์สตรีท ไม่ได้มีเจตนารมณ์แม้แต่นิดเดียวที่จะยินยอมเปิดทางให้เกิดภาวะหลายขั้วอำนาจขึ้นมาในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (แม้กระทั่งภาวะหลายขั้วอำนาจในขนาดขอบเขตขั้นต่ำที่สุด) ดังนั้น รัสเซียจึงต้องดำเนินการปรับเปลี่ยนอันจำเป็นของตนเอง
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า มอสโกนั้นกำลังถอนหมุดถอยห่างออกจากฝ่ายตะวันตก และมุ่งหน้าไปหาเอเชียตะวันออก กระบวนการนี้เมื่อมองกันอย่างขำๆ ควรจะถือได้กระมังว่าได้รับอิทธิพลโดยตรงมาจากหลักการด้านนโยบายการต่างประเทศของประธานาธิบดีบารัค โอบามา ทั้งนี้ตัวโอบามาเองแหละ พูดสรุปถึงหลักการดังกล่าวนี้ของเขาว่า คือ “อย่ากระทำเรื่องที่โง่เขลางี่เง่า” (Don't Do Stupid Stuff) เล่ากันว่าเขาเกิด “ปิ๊ง” สูตรนี้ขึ้นมา ในระหว่างอยู่บนเครื่องบินประจำตำแหน่ง “แอร์ฟอร์ซวัน” (Air Force One) ช่วงเดินทางกลับบ้านเดือนเมษายนปีที่แล้ว ภายหลังเสร็จสิ้นการเดินทางไปเยือนเอเชีย และพร่ำพรรณนาให้พวกผู้สื่อข่าวซึ่งติดตามเขาไปทำข่าว ฟังอย่างครื้มอกครื้นใจ
สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในเวลานี้ คือรัสเซียกับจีนกำลังจับมือเป็นหุ้นส่วนแบบอยู่ร่วมกันพึ่งพาอาศัยกันและก็เป็นหุ้นส่วนในทางยุทธศาสตร์ (symbiosis/strategic partnership) หุ้นส่วนดังกล่าวนี้กำลังพัฒนาไปในหลายๆ ระดับหลายๆ มิติ
ในด้านพลังงาน รัสเซียกำลังเลี้ยวไปทางตะวันออก เนื่องจากทิศทางนี้แหละที่กำลังมีความต้องการน้ำมันและก๊าซของแดนหมีขาวสูงที่สุด ส่วนในด้านการเงิน มอสโกกำลังยุติการนำเอาเงินสกุลรูเบิลของตนไปผูกติดอยู่กับดอลลาร์สหรัฐฯและยูโร และก็ไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจอะไรที่เงินดอลลาร์สหรัฐฯ มีค่าลดลงทันทีเมื่อเทียบกับรูเบิล (ถึงแม้อาจจะตกลงมาเพียงช่วงสั้นๆ ก็ตามที) ขณะที่ วีทีบี (VTB) ธนาคารของรัสเซียประกาศว่าอาจจะถอนตัวออกจากตลาดหลักทรัพย์ลอนดอน และเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้แทน (โดยที่ตลาดเซี่ยงไฮ้ก็กำลังเริ่มกระบวนการเชื่อมต่อโดยตรงกับตลาดฮ่องกงแล้ว) นอกจากนั้นในส่วนของตลาดฮ่องกงเอง ก็กำลังดึงดูดความสนใจของพวกบริษัทยักษ์ใหญ่พลังงานของรัสเซีย ให้ไปจดทะเบียนด้วยเช่นกัน (ดูรายละเอียดที่เว็บเพจ http://sputniknews.com/business/20141108/195319981/Russian-Energy-Giants-Consider-Listing-Securities-on-Hong-Kong.html)
คราวนี้เมื่อลองเขย่าพัฒนาการสำคัญๆ ทั้งหมดเหล่านี้ เข้ากับข้อตกลงด้านพลังงานฉบับมหึมา 2 ฉบับซ้อนซึ่งกำหนดที่จะใช้สกุลเงินหยวน-รูเบิล ภาพก็จะออกมาอย่างชัดเจนทีเดียวว่า การหันมาจับมือเป็นหุ้นส่วนกับจีนนั้น เป็นการที่รัสเซียมองหาทางปกป้องคุ้มครองตนเองอย่างเป็นฝ่ายรุกไปด้วย เพื่อให้หลีกพ้นการถูกโจมตีสกุลเงินจากฝ่ายตะวันตกที่มีแรงจูงใจทั้งจากการเก็งกำไรและจุดมุ่งหมายทางการเมือง
แต่นอกจากความเป็นหุ้นส่วนระหว่างรัสเซียกับจีน ในแบบอยู่ร่วมกันพึ่งพาอาศัยกัน และก็เป็นหุ้นส่วนในทางยุทธศาสตร์ไปด้วย กำลังขยายไปในด้านพลังงานและการเงินอย่างเห็นได้ชัดๆ ดังกล่าวนี้แล้ว สิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เลยก็คือมันยังจะแผ่ขยายไปถึงด้านเทคโนโลยีการทหารอีกด้วย ในเรื่องหลังนี้ พัฒนาการอันสำคัญอย่างยิ่งยวด ได้แก่การที่มอสโกกำลังตกลงขายระบบการป้องกันทางอากาศแบบ เอส-400 (S-400 air defense system) ให้แก่ปักกิ่ง รวมทั้งจะขายระบบเอส-500 ในอนาคตด้วย แน่นอนทีเดียว อาวุธเหล่านี้เมื่อจีนได้ไปจะต้องมุ่งเล็งเป้าหมายเข้าใส่ฝ่ายอเมริกัน ทั้งนี้ต้องไม่ลืมว่า ปักกิ่งเองก็กำลังพัฒนาขีปนาวุธยิงจากภาคพื้นดินสู่เรือ (surface-to-ship missiles) ซึ่งสามารถที่จะใช้เล่นงานทุกสิ่งทุกอย่างที่กองทัพเรือสหรัฐฯจะสะสมรวบรวมขึ้นมาได้
กระนั้นก็ตาม ณ การประชุมเอเปกคราวนี้ อย่างน้อยที่สุด สี กับ โอบามา ยังตกลงกันได้ที่จะจัดตั้งกลไกร่วมระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ซึ่งจะคอยแจ้งการปฏิบัติการทางทหารสำคัญๆ ให้อีกฝ่ายหนึ่งรับทราบ วาดหวังกันไว้ว่า กลไกร่วมดังกล่าวนี้ คงจะ (ในโลกของการปฏิบัติการที่เป็นจริงนั้น ระดับของคำยืนยันรับรองที่จะใช้ได้ก็แค่ “คงจะ” เท่านั้นแหละ) ป้องกันไม่ให้เอเชียตะวันออก เกิดเหตุการณ์ทำนองเดียวกับที่เกิดขึ้นกับรัสเซีย อันเป็นสิ่งที่นาโต้ยังคงกำลังร้องครวญครางไม่ยอมหยุดว่า “รัสเซียรุกรานยูเครน” ได้กระมัง!
**“ไปไกลๆ เลย” เจ้าพวกนีโอคอน**
เมื่อตอนที่ จอร์จ ดับเบิลยู บุช ขึ้นครองอำนาจตอนต้นปี 2001 นั้น พวกนีโอคอน (neo-cons คำเต็มๆ คือ neo-conservatives พวกอนุรักษนิยมใหม่) กำลังเผชิญหน้ากับความจริงที่แสนจะโจ่งแจ้ง นั่นคือ สหรัฐฯกำลังจะต้องสูญเสียฐานะความเป็นเจ้านายทางด้านภูมิรัฐศาสตร์และเจ้านายทางด้านเศรษฐกิจของโลกไปอย่างไม่มีทางหวนกลับคืนมาได้อีก การสูญเสียดังกล่าวนี้ไม่ใช่สิ่งที่จะมาตั้งคำถามกันว่ามันจะเกิดขึ้นหรือไม่ มีแต่ว่าเมื่อใดเท่านั้น ด้วยเหตุนี้เอง พวกเขาจึงมีทางเลือกเพียง 2 ทาง ทางหนึ่งคือพยายามบริหารจัดการความเสื่อมทรุดเพื่อให้ดำเนินไปอย่างค่อนข้างราบรื่นไม่เกิดความรุนแรง ส่วนอีกทางหนึ่งคือการทุ่มเดิมพันทั้งหมดที่มีอยู่เพื่อพยายามกระชับฐานะความเป็นเจ้านายของโลกเอาไว้ให้แน่นเหนียวมั่นคงต่อไป ทั้งนี้ด้วยการใช้อาวุธอันร้ายกาจ อย่างเช่นสงคราม
ถึงเวลานี้ พวกเราต่างทราบกันเป็นอันดีแล้ว ในเรื่องความฝันลมๆ แล้งๆ ของพวกนีโอคอน เมื่อตอนที่พวกเขาผลักดันให้ทำสงคราม “ค่าใช้จ่ายต่ำ” (low-cost) ขึ้นในอิรัก ไม่ว่าจะเป็นความเพ้อฝันว่าด้วย “เราคือองค์การโอเปกแห่งใหม่” (We are the new OPEC) ของ พอล วูลโฟวิตซ์ (Paul Wolfowitz) ไปจนถึงแฟนตาซีที่ว่าวอชิงตันกำลังสามารถขู่กรรโชกพวกที่อาจกลายเป็นผู้ท้าทายอำนาจของตนทั้งหลายได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดทุกราย ไม่ว่าจะเป็น อียู (สหภาพยุโรป), รัสเซีย, หรือว่าจีน
รวมทั้งพวกเราทั้งหลายต่างก็ทราบแล้วว่า การกระทำอันเกิดจากความเพ้อฝันเหล่านั้น ได้นำไปสู่ความผิดพลาดอย่างฉกาจฉกรรจ์ขนาดไหน อย่างที่ หมินฉี หลี่ (Minqi Li) วิเคราะห์เอาไว้ในหนังสือเรื่อง “The Rise of China and the Demise of the Capitalist World Economy” (การก้าวผงาดของจีนและการสิ้นชีพของเศรษฐกิจโลกนายทุน) ของเขา การผจญภัยชนิดที่ต้องทุ่มเทสิ้นเปลืองระดับล้านล้านดอลลาร์เช่นนั้น กลับกลายเป็นการ “ตัดทอนพื้นที่ซึ่งจักรวรรดินิยมสหรัฐฯยังพอมีเหลืออยู่ สำหรับดำเนินการเคลื่อนไหวทางยุทธศาสตร์” กระนั้นก็ตาม คณะรัฐบาลโอบามาซึ่งเป็น “นักจักรวรรดินิยมที่แสดงรูปโฉมเป็นนักมนุษยธรรม” (humanitarian imperialists) ยังคงไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ ยังคงปฏิเสธที่จะยอมรับว่าสหรัฐฯนั้นได้สูญเสียความสามารถทุกสิ่งทุกอย่าง ที่จะเสนอหนทางออกอันมีความหมายใดๆ ให้แก่ สิ่งที่ อิมมานูเอล วอลเลอร์สไตน์ (Immanuel Wallerstein) คงจะเรียกว่า เป็น “ระบบโลก” (world-system) ปัจจุบัน
ในแวดวงวิชาการของสหรัฐฯนั้น มีสัญญาณปรากฏออกมาอยู่บ้าง ว่ายังคงมีผู้มีปัญญาช่างขบคิดในทางภูมิรัฐศาสตร์ที่แหลมคมน่าสนใจ เป็นต้นว่าในเว็บเพจแนะนำหนังสือเรื่อง The Sino-Russian Challenge to the World Order: National Identities, Bilateral Relations, and East versus West in the 2010s (http://www.wilsoncenter.org/book/the-sino-russian-challenge-to-the-world-order-national-identities-bilateral-relations-and-east) ของเว็บไซต์ “ศูนย์วิลสัน” (Wilson Center) ถึงแม้คงต้องท้วงติงว่า รัสเซียกับจีนนั้น ไม่ได้เป็น “ความท้าทาย” ต่อสิ่งที่ทึกทักกันว่าเป็น “ระเบียบ” โลก อย่างที่กล่าวไว้ในหนังสือเล่มนี้ อันที่จริงแล้ว ความเป็นหุ้นส่วนกันระหว่างมอสโกปักกิ่ง กำลังเดินหน้าไปในทิศทางที่จะสร้างระเบียบบางประการขึ้นมา ท่ามกลางความปั่นป่วนวุ่นวายในเวลานี้ด้วยซ้ำไป
อย่างไรก็ตาม บทความอย่างเรื่อง China's Long Road to Superpower Status ที่ปรากฏในเว็บไซต์ของ “ยูเอสนิวส์” (USNews) (ดูรายละเอียดบทความนี้ได้ที่ http://www.usnews.com/opinion/blogs/world-report/2014/11/10/china-is-not-the-next-global-superpower) กลับเป็นตัวอย่างอันแท้จริงของสิ่งที่อ้างกันว่าเป็น “บทวิเคราะห์” ทางวิชาการ ชนิดซึ่งนำมาเผยแพร่กันไปทั่วในสื่อมวลชนของสหรัฐฯ
ที่ร้ายที่สุดคือ พวกชนชั้นนำวอชิงตัน/วอลล์สตรีท (ผ่านทางคลังสมองผ่านทางสำนักวิจัยอันมีวิสัยทัศน์แสนจะคับแคบของพวกเขา) ยังคงยึดติดอยู่กับมายาการอันซ้ำซากจำเจทั้งหลาย อย่างเช่น การที่ชอบอ้างกันว่าสหรัฐฯมีบทบาท “ทางประวัติศาสตร์” ในการเป็น”ผู้ตัดสินชี้ขาดของเอเชียแห่งยุคใหม่” และเป็น “ผู้ถ่วงดุลอำนาจรายสำคัญที่สุด”
จากสภาวการณ์เช่นนี้ จึงไม่น่าประหลาดใจอะไรที่ว่า มติมหาชนในสหรัฐฯ (และในยุโรปตะวันตกด้วย) ยังคงไม่สามารถแม้แต่จะจินตนาการถึงผลกระทบอันสะท้านฟ้าสะเทือนดินของ “เส้นทางสายไหมเส้นใหม่” ซึ่งจะมีต่อภูมิรัฐศาสตร์แห่งยุคศตวรรษที่ 21
พวกชนชั้นนำวอชิงตัน/วอลล์สตรีท ซึ่งยังคงติดนิสัยอหังการ์ในยุคสงครามเย็น จึงมักมองแบบผ่านๆ เพียงแค่ว่าปักกิ่งกับมอสโกจะไม่มีทางจับมืออะไรกันได้จริงๆ และจะต้องแยกห่างจากกันอย่างสิ้นเชิง มาถึงเวลานี้ ความงุนงงสับสนจับต้นชนปลายไม่ถูก จึงกำลังครอบงำไปทั่ว จำได้ไหม ในตอนที่คณะรัฐบาลโอบามา เสนอยุทธศาสตร์ “ปักหลุดสู่เอเชีย” (pivot to Asia) แล้วก็ต้องรีบลบวลีนี้ทิ้งแทบไม่ทัน หลังจากปักกิ่งโจมตีแบบตีแสกหน้าว่า มันคือการแสดงท่าทียั่วยุแบบมุ่งทำสงคราม (ซึ่งมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ เสียด้วย) มาถึงตอนนี้วอชิงตันจึงต้องประดิษฐ์วลีใหม่เกี่ยวกับแนวคิดนี้ออกมา นั่นคือ “การสร้างความสมดุลใหม่” (rebalance)
สำหรับพวกธุรกิจเยอรมัน นั้น กำลังอยู่ในอาการวิกลจริตไปเลย เมื่อได้รับฟังแนวความคิดของ สี จิ้นผิง ในเรื่องเส้นทางสายไหมเส้นใหม่ ซึ่งกำลังจะเชื่อมต่อปักกิ่งเข้ากับเบอร์ลิน โดยจุดสำคัญอย่างที่สุดก็คือ จะผ่านทางมอสโก ในไม่ช้าก็เร็วนี้แหละ พวกนักการเมืองชาวเยอรมันก็จะต้องตระหนักและเข้าใจ “ข้อความ” นี้
สิ่งต่างๆ ทั้งหมดเหล่านี้ คาดหมายได้ว่าคงถูกนำมาอภิปรายหารือกันเป็นการภายใน ณ การประชุมสำคัญๆ ซึ่งจัดขึ้นข้างเคียงการประชุมซัมมิตของกลุ่ม 20 ประเทศเศรษฐกิจสำคัญของโลก (จี-20) ในวันที่ 15-16 พฤศจิกายนนี้ ที่เมืองบริสเบน, ออสเตรเลีย พันธมิตรระหว่างรัสเซีย-จีน-เยอรมนี จะก่อตัวขึ้นมาได้แค่ไหน จะรู้กันที่นั่น กลุ่มบริกส์ (BRICS) เกิดวิกฤตหรือไม่มีวิกฤตกันแน่ ก็จะรู้กันที่นั่น พวกผู้เล่นทั้งหมดในกลุ่ม จี-20 ซึ่งกำลังทำงานกันอย่างกระตือรือร้นเพื่อมุ่งสู่โลกที่มีขั้วอำนาจหลายๆ ขั้ว ก็จะอยู่กันที่นั่น
เป็นอีกครั้งหนึ่งซึ่ง ซัมมิตเอเปก แสดงให้เห็นว่า ยิ่งมีการเปลี่ยนแปลงทางภูมิรัฐศาสตร์มากเท่าไร เอเปกก็ยิ่งจะไม่ดำรงคงอยู่ในรูปเดิมๆ และยิ่งพวกที่ชอบอ้างว่าประเทศตนคือสิ่งพิเศษเป็นข้อยกเว้นของโลก เที่ยวเห่ากรรโชกท้าทายทำสงคราม, เที่ยวธำรงรักษาภาวะความไม่เสมอภาค, ตลอดจนการแบ่งแยกแล้วปกครองเอาไว้ กองคาราวานของจีน-รัสเซีย ที่แผ่คลุมไปทั่วยูเรเซีย ก็จะยิ่งเดินหน้า, เดินหน้า, เดินหน้า ต่อไปบนถนน (แห่งการมีโลกหลายขั้วอำนาจ)
เปเป้ เอสโคบาร์ เป็นคอลัมนิสต์ของเอเชียไทมส์ออนไลน์ เขาเป็นผู้เขียนหนังสือเรื่อง Globalistan: How the Globalized World is Dissolving into Liquid War (Nimble Books, 2007), Red Zone Blues: a snapshot of Baghdad during the surge (Nimble Books, 2007), และ Obama does Globalistan (Nimble Books, 2009) ทั้งนี้สามารถติดต่อเขาทางอีเมลได้ที่ pepeasia@yahoo.com