เอเจนซีส์/ASTVผู้จัดการออนไลน์ - หากพรรครีพับลิกันสามารถพลิกเอาชนะพรรคเดโมแครตของประธานาธิบดีสหรัฐฯ บารัค โอบามา ได้เกิน 6 ที่นั่งในสภาสูงสหรัฐฯได้สำเร็จ และสามารถคุมเบ็ดเสร็จทั้งสภาสูงและสภาล่างของสหรัฐฯเป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปี จะเกิดอะไรขึ้นกับนโยบายหลักของประธานาธิบดีสหรัฐฯ บารัค โอบามา ที่ได้รับการเลือกตั้งเข้ามาเป็นสมัยที่สองจากคำมั่นสัญญาที่จะผลักดันโครงการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น การประกันสุขภาพ ทึ่รู้จักในนาม “โอบามาแคร์” และได้นำไปสู่ปรากฏการณ์ชัตดาว์นระดับโลกในเดือน ตุลาม 2013 หรือ นโยบายปฎิรูปกฎหมายคนเข้าเมืองสหรัฐฯ ( Dream Act ) ซึ่งเดโมแครตต้องการให้ผู้อพยพที่อพยพเข้าเมืองตามพ่อแม่อย่างผิดกฏหมายตั้งแต่ยังเล็ก และเติบโตในสหรัฐฯสามารถได้รับโอกาสให้สามารถอาศัยอยู่ในประเทศได้อย่างถูกกฎหมาย และทำให้เกิดปรากฎการณ์ไหลทะลักเข้าประเทศของผู้อพยพชาวอเมริกากลางจนกระทั่งผู้ว่าการรัฐเทกซัส ริก เพอร์รี จากรีพับลิกัน ต้องสั่งแนชันแนลการ์ดประจำการตามพรมแดนของรัฐ
เดลิเมล สื่ออังกฤษ รายงานวันนี้(4)ว่า อย่างที่ทราบกันดีว่า “โอบามาแคร์” ยังอยู่ในสภาวะง่อนแง่น ส่วนการปฎิรูปกฏหมายเข้าเมืองสหรัฐฯ คาดว่าอาจจะมีการดำเนินการต่อไป แต่จะอยู่ในเงื่อนไขที่พรรครีพับลิกันกำหนด รวมไปถึงปัญหาการสร้างKeystone XL pipeline ที่เป็นประเด็นร้อนด้านสิ่งแวดล้อมในขณะนี้ รับรองว่าโครงการที่อื้อฉาวของแคนาดานี้จะมีการก่อสร้างอย่างแน่นอนหากพรรครีพับลิกันเข้าคุมเสียงได้อย่างเบ็ดเสร็จในการเลือกตั้งกลางเทอมสหรัฐฯ ที่จะเริ่มต้นในวันนี้(4) ซึ่งเราอาจจะได้เห็นปรากฎการณ์ยืนรอต่อแถวรอนอกคูหาเป็นเวลาหลายชั่วโมงเพื่อรอหย่อนบัตรลงคะแนน และอาจจะมีบางรัฐที่ประชาชนชาวอเมริกันจะต้องยื่นบัตรประจำตัว เช่น พาสปอร์ต หรือ ใบขับขี่เพื่อแสดงสิทธิ์ขอลงคะแนน (ในสหรัฐฯ ผู้มีสิทธิ์ไม่ต้องแสดงบัตรประจำตัวลงคะแนนเสียง เลขที่ประกันสังคมในอเมริกาใช้เป็นหลักฐานทำธุรกรรมทุกชนิดที่ทุกคนต้องจำขึ้นใจ นอกจากนี้คนอเมริกันที่มีรายได้น้อยอาจไม่สามารถชำระค่าธรรมเนียมการทำพาสปอร์ต หรือใบขับขี่ได้ เพราะไม่ใช่ทุกคนในสหรัฐฯที่สามารถมีรถเป็นของตนเอง)
และนอกไปจากนี้หากรีพับลิกันครองเสียงข้างมากในสภาสูงสำเร็จ เชื่อได้ว่าในคณะกรรมาธิการทุกชุดของวุฒิสภาสหรัฐฯจะมีคนจากพรรครีพับลิกันนั่งอยู่ด้วยเป็นประธานในเดือนมกราคมที่จะถึงนี้ และจะส่งผลทำให้รีพับลิกันสามารถเลือกที่จะใช้แทกติกทำให้การออกกฎหมายช้าลง หรือเลือกที่จะทำอย่างที่แฮร์รี รีด ( Harry Reid) ผู้นำเสียงข้างมากในวุฒิสภาสหรัฐฯ พรรคเดโมแครต จากรัฐเนวาดา กระทำนับตั้งแต่ปี 2007 เป็นต้นมา
นอกจากนี้ คณะกรรมาธิการทางยุติธรรมที่ทรงอำนาจของสหรัฐฯจะกลายเป็นตัวที่ทำให้เกมส์เปลี่ยน โดยเฉพาะยามที่ต้องแต่งตั้งผู้พิพากษา รวมไปถึงการเสนอรายชื่อผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งในศาลสูงสหรัฐฯในปีถัดไป
ซึ่งแน่นอนที่สุด หัวใจของรีพับลิกันคือ การล้ม “โอบามาแคร์” ความพยายามในการหาทางที่จะยกเลิก หรือเปลี่ยนแปลงโครงการประกันสุขภาพขั้นพื้นฐานของสหรัฐฯถือเป็นถ้วยรางวัลสูงสุดของสายอนุรักษ์นิยม หรือ Tea Partyที่อยู่ในพรรครีพับลิกัน พรรคเดโมแครตได้ผ่านกฏหมายฉบับนี้เมื่อครั้งโอบามาเข้ารับตำแหน่งในสมัยแรก ในสถานการณ์ที่พรรคเดโมแครตสามารถครองทั้งสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯและสภาสูงสหรัฐฯได้พร้อมกัน และไม่มีนักการเมืองจากสายพรรครีพับลิกันแม้แต่คนเดียวที่ยกมือผ่านร่างกฏหมายฉบับนี้
นอกจากนี้ สื่ออังกฤษยังให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า “กฏหมายปฎิรูปคนเข้าเมืองสหรัฐฯ” ที่นำเสนอโดยเดโมแครต อาจจะถูกพรรครีพับลิกันแปลงสภาพจาก “การปกป้องชนกลุ่มน้อยเชื้อสายลาตินอเมริกา” อาจจะเปลี่ยนเป็น “การทำร้ายชนกลุ่มนี้ไปแทน” เพราะเป็นที่แน่นอนว่า พรรครีพับลิกันจะพยายามอย่างหนักต่อต้านในสิ่งที่พวกเขาเห็นว่า สิ่งที่โอบามาได้ตัดสินใจเริ่มต้นเพื่อเอาใจกลุ่มลาตินโนนั้นผิดกฎหมายโดยสิ้นเชิง และรับไม่ได้ โดยการให้ผลประโยชน์กับผู้อพยพที่เดินทางเข้าสหรัฐฯอย่างผิดกฏหมายนั้นเป็นสิ่งที่ไม่มีเหตุผลโดยสิ้นเชิงในสายตาของพรรค รีพับลิกัน หรือที่รู้จักในนามGOP ที่เก่าแก่ในสหรัฐฯ
ซึ่งรีพับลิกันอ้างว่า ผู้อพยพเหล่านี้ทำให้ระบบการศึกษาของสหรัฐฯต้องล้มละลาย (เพราะการศึกษาภาคบังคับในสหรัฐฯนั้น ผู้เรียนไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย) รวมไปถึงปัญหางานสำหรับพลเมืองสหรัฐฯ และที่เป็นอยู่แล้วในขณะนี่กับระบบยุติธรรมสหรัฐฯต้องทำงานหนัก และที่สำคัญที่สุดจะเปลี่ยนรูปแบบการใช้ชีวิตของชาวอเมริกันให้ลงสู่เหว
ในปีที่ผ่านมา โอบามาต้องพึ่งพา “แก๊งทั้ง 8” ที่ร่วมระหว่างทั้งสองพรรคในสภาสูงสหรัฐฯในการร่างกฏหมายปฎิรูปเข้าเมืองเพื่อหวังว่า จะทำให้สมาชิกรีพับลิกันในสภาล่างเห็นด้วย โดยร่างกฎหมายจากสภาสูงนี้ได้ผ่านการอนุมัติ ที่มีเนื้อหาเอื้อประโยชน์สำหรับทุกกลุ่ม และทำให้มีการเนรเทศผู้เข้าสหรัฐฯผิดกฏหมายจำนวนน้อยมากอย่างเห็นได้ชัด เพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยบริเวณพรมแดนสหรัฐฯ แต่ทางสายขวาจัดในพรรครีพับลิกันไม่คิดว่า จะสามารถไว้ใจทำเนียบขาวได้มากพอว่าจะทำตามอย่างที่ได้ตกลงกันไว้ในท้ายที่สุด จนเป็นผลให้ร่างกฏหมายการปฏิรูปฉบับนี้ไม่ได้ถูกนำเข้าสู่สภาผูแทนราษฎรสหรัฐฯ
และส่งผลให้ประธานาธิบดีสหรัฐฯถึงกับโกรธจัด และประกาศกร้าวกลางสวนโรสการ์เดนในทำเนียบขาวว่า “ถึงสภาล่างสหรัฐฯจะไม่ทำงาน แต่ตัวเขาในฐานะประธานาธิบดีสหรัฐฯจะยังทำต่อไป และจะใช้อำนาจในฐานะผู้นำฝ่ายบริหารผลักดัน” โดยประธานาธิบดีสหรัฐฯจะผลักดันบางส่วนของร่างกฎหมายนี้เพื่ออนุญาตให้ผู้อพยพเข้าเมืองผิดกฏหมายที่เดินทางเข้าสหรัฐฯตั้งแต่เด็กจำนวนนับหลายหมื่นคนสามารถมีสถานะทางกฏหมายที่จะอาศัยอยู่ในสหรัฐฯได้ โดยอย่างน้อยตราบเท่าที่ในระยะการดำรงตำแหน่งของโอบามาในฐานะผู้นำประเทศ ซึ่งตัวโอบามาเองได้แสดงวาทะซื้อใจผ่านการปราศรัยว่า จะพยายามเดินหน้าต่อไปถึงแม้จะเสร็จสิ้นการเลือกตั้งกลางเทอมไปแล้วก็ตาม
รีพับลิกันกล่าวหานโยบายปฎิรูปคนเข้าเมืองนี้ว่า โอบามาและเดโมแครตใช้ผู้อพยพสวมรอยโหวตลงคะแนนเพื่อกุมอำนาจการบริหารประเทศ และเป็นผลนำไปสู่มลรัฐที่มีผู้ว่าการรัฐมาจากรีพับลิกัน ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ทางใต้ของสหรัฐฯติดกับเม็กซิโก ผลักดันกฎหมายกำหนดให้ผู้ต้องการลงคะแนนเลือกตั้งต้องแสดงบัตรประจำตัว สร้างความกดดันให้กับชาวอเมริกันกลุ่มน้อย โดยเฉพาะอเมริกันผิวสีที่มีประวัติยาวนานการถูกกีดกันการลงคะแนนนั้นไม่พอใจ และโจมตีว่าเป็นการจำกัดสิทธิการเลือกตั้งของพลเมืองสหรัฐฯ
และหากรีพับลิกันสามารถกลับมาครองเสียงข้างมากในรัฐสภาคองเกรสสำเร็จตามที่มีโพลหลายสำนักได้คาดการณ์ ถึงแม้ว่าจะไม่สามารถขัดขวางโอบามได้ในทุกเรื่อง แต่พรรครีพับลิกันก็จะมีโอกาสมากกว่าเดิมที่จะทำให้รัฐบาลภายใต้การบริหารของเขาที่จะสิ้นสุดในปี 2016กลายเป็น “เป็ดง่อย” ในที่สุด และหนึ่งในแทคติกที่อาจเกิดขึ้นอีกครั้ง คือ “ปรากฎการณ์ชัตดาว์น” เนื่องจากงบประมาณล่าสุดที่ผ่านนั้นจะสิ้นสุดในวันที่ 11 ธันวาคมนี้ และจะเป็นโอกาสให้ผู้นำพรรครีพับลิกันในสภาล่างสามารถบีบบังคับทำเนียบขาว โดยการขู่ที่จะแช่ร่างงบประมาณใหม่ก่อนคริสต์มาสที่จะถึงนี้
และเราได้เห็นปรากฎการณ์นี้มาแล้ว และที่ผ่านมารีพับลิกันต้องยอมอ่อนข้อให้กับทำเนียบขาว เพราะคุมแค่สภาล่างสหรัฐฯ อีกทั้งยังไม่สามารถทำอะไรได้โดยไม่ได้รับการสนับสนุนจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสายเดโมแครต แต่สิ่งเหล่านี้อาจจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป และเราจะได้เห็นมิตช์ แมคคอนเนล ( Mitch McConnell) สว.จากรัฐเคนตักกีที่กำลังอยู่ในสนามการเลือกตั้งกลางเทอมขณะนี้ทำหน้าที่เป็นผู้นำสภาสูงสหรัฐฯสมกับที่ตั้งตารอ
ด้านเอบีซี สื่อสหรัฐฯ รายงานเพิ่มเติมว่า มีการคาดการณ์ว่าอาจจะเห็นการเปลี่ยนแปลงในผลการเลือกตั้งสมาชิกวุฒสมาชิกขึ้นในบางรัฐ ที่จะมีการเปลี่ยนขั้วทางการเมืองเกิดขึ้นใน 13 รัฐ จากทั้งหมด 36 รัฐ เช่น รัฐเวอร์จิเนีย รัฐจอร์เจีย รัฐเคนตักกี รัฐนอร์ทแคโรไลนา รัฐเวสต์เวอร์จิเนีย รัฐนิวแฮมเชียร์ รัฐอาคันซอ โดยดิ อินดีเพนเดนต์ ได้คาดการณ์เพิ่มเติมว่า ผลการเลือกตั้งสมัยกลางเทอมนี้จะเห็นอเมริกาเป็นอนุรักษ์นิยมมากขึ้น
และแน่นอนที่สุดว่า การเลือกตั้งกลางเทอมนั้นมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งใหญ่ในปี 2016 ที่จะมีการจัดเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯครั้งต่อไปเกิดขึ้นในปีนั้นเช่นกัน ที่มี ฮิลลารี คลินตัน เป็นตัวเก็งจากสายเดโมแครต และมีเท็ด ครูซ แรนด์ พอล รวมไปถึง เจบ บูช น้องชายอดีตประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บูช และผู้ว่าการรัฐฟลอริดา ซึ่งรัฐฟลอริดาถือเป็นรัฐสำคัญในสนามการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯทุกปี และอาจจะรวมถึง มิตต์ รอมนีย์ อดีตผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในปี 2012 อีกด้วย โดยรีพับลิกันตั้งเป้าว่าต้องทางทำเนียบขาวจากเดโมแครตกลับมาให้ได้ และการเริ่มต้นชิงสภาสูงสหรัฐฯในสมัยเลือกตั้งกลางเทอมอาจจะนำไปสู่สิ่งนั้น
โฆษณาการหาเสียงของตัวแทนผู้สมัครลงชิงเก้าอี้วุฒิสมาชิกจากพรรคเดโมแครต แอลิสัน กริมส์ ที่เธอประกาศว่า เธอไม่เห็นด้วยกับนโยบายควบคุมอาวุธปืนของประธานาธิบดี บารัค โอบาม และเธอเย้ย มิตช์ แมคคอนเนล สว.รัฐเคนตักกีที่ลงสมัครรับเลือกตั้งอีกครั้ง โดยแสดงให้เห็นถึงการถือปืนที่ถูกต้อง
คลิปแสดงให้เห็นว่า มิตช์ แมคคอนเนล สว.รัฐเคนตักกี เป็นที่รู้จักในรัฐนี้มานานเพียงใด