xs
xsm
sm
md
lg

Opinion: แลนด์สไลด์ของ “รีพับลิกัน” ชี้ ผิวขาวและซีเนียร์ยังคุมอยู่ “ไม่เชื่อถามป๋าจอห์น แมคเคนดู”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เอเจนซีส์ - หลังจากคืนแห่งความทุกข์ของพวกเดม หรือเดโมแครตในคืนวันประกาศผลเลือกตั้งกลางเทอมสหรัฐฯผ่านพ้นไปพร้อมกับการยอมรับของประธานาธิบดีสหรัฐฯ บารัค โอบามา ที่ประกาศว่า “ผมได้ยินข้อความจากคุณ..อเมริกา “ทั้งดังและชัดเจน” ซึ่งผลการเลือกตั้งครั้งนี้เป็นเสมือนการลงประชามติสำหรับโอบามา และนโยบายที่เขาทำตลอดมา แต่ความสุขนี้ยังยาวนานสำหรับพรรครัพับลิกัน หรือ GOP อันเก่าแก่ของสหรัฐฯ ที่ซาลอน นิวส์ ยังคงพบว่า ถึงจะเข้าสู่อยู่ดิจิตอลในศตวรรตที่ 21 แล้ว แต่ฐานของรีพับลิกันยังคงเป็นอเมริกันผิวขาว และอยู่ในวัยสูงอายุ ร่วมรุ่นกับ จอห์น แมคเคน สว.สหรัฐฯ สายรีพับลิกัน รัฐแอริโซนา เป็นส่วนใหญ่ ที่คนเหล่านี้รักทั้งปืน การฆ่าหมู รวมไปถึงชิงชัง “Big Government” แต่ฐานเสียงรีพับลิกันกลุ่มนี้ที่ซาลอน นิวส์ชี้ว่า นับวันจะหดตัวลงทุกที และไร้อนาคต

ซาลอน นิวส์ รายงานวันนี้(6)ว่า หลังจากพรรคเดโมแครตถูกทุบด้วยผลการเลือกตั้งกลางเทอมสหรัฐฯในวันอังคาร(4) แต่ทางกลับกัน การเลือกตั้งครั้งนี้มีความหมายอย่างลึกซึ้งสำหรับกลุ่มอเมริกันผิวขาวที่ล้วนมีประสบการณ์ทางชีวิตมายาวนาน ถือเป็นการส่งสัญญาณเตือนถึงการกลับมาของสหรัฐฯอย่างที่ควรจะเป็นอีกครั้ง เหมือนอย่างเช่น มิตต์ แมคคอนเนล สว.รัฐเคนตักกี ประกาศว่า จะทำให้วุฒิสภาสหรัฐฯกลับเข้าสู่เข้าที่เข้าทาง เพราะในสายตาของรีพับลิกันแล้ว หลังจากชัยชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯในปี 2012 เดโมแครตได้เปลี่ยนให้อเมริกาเป็นดินแดนของชาวเพศเดียวกัน รวมถึงการทำให้การใช้กัญชาถูกกฎหมายเป็นวงกว้าง ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ใช่ “อเมริกา” ในแบบที่ควรจะเป็นในสายตาของซีเนียร์เหล่านั้น

แต่กระนั้นถึงความพ่ายแพ้อย่างหมดรูปของเดม หรือเดโมแครต จะเกิดขึ้น แต่กลุ่มที่มีบทบาทสำคัญในการกำหนดนโยบายและทิศทางของพรรคยังคงเห็นว่า ระยะเวลาภายใต้การบริหารของประธานาธิบดีผิวสีคนแรกของสหรัฐฯผู้นี้เป็นเสมือน “ทะเลแห่งการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองสหรัฐฯ” เพราะสัดส่วนการเพิ่มจำนวนของพลเมืองเชื้อชาติต่างๆที่ไม่ใช่ผิวขาว (แอฟริกันอเมริกัน เอเชีย ลาตินอเมริกา และชนพื้นเมืองอินเดียแดง) จะส่งให้อนาคตของเดโมแครตมั่นคงในอนาคต

แต่กระนั้นผลการเลือกตั้งในคืนวันอังคาร(4)กลับชี้ว่า ประชาชนผิวขาวที่มีอายุตั้งแต่ 45 ปีขึ้นไปได้ออกมาลงคะแนนอย่างท่วมท้นทั่วประเทศ ซึ่งแตกต่างเป็นอย่างมากเมื่อเปรียบเทียบกับการเลือกตั้งประธานาธิบดี 2 ครั้งที่ผ่านมาล่าสุด โดยเฉพาะในปี 2012 ที่ได้เห็นพลังกลุ่มประชาชนอเมริกันชนกลุ่มน้อยที่ได้ผนึกกำลังเพื่อเลือกผู้นำผิวสีคนแรกของอเมริกากลับมาอีกครั้ง พร้อมกับเปิดประตูให้กับกลุ่ม LGBT สามารถโบกธงสีรุ้งประกาศชัยชนะ และสร้างประวัติศาสร์ให้รัฐโคโลราโดเป็นรัฐแรกที่ทั้งพี้และขายกัญชาได้อย่างถูกกฎหมาย

ซาลอน นิวส์ ยังวิเคราะห์เจาะลึกเพิ่มเติมว่า ในภาพรวมระยะยาว การเปลี่ยนแปลงทางสัดส่วนประชากรสหรัฐฯที่มีพลังขับเคลื่อนมาจากชนกลุ่มน้อยเหล่านี้จะสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับการเมืองสหรัฐฯในอีก 50 ปีข้างหน้าอย่างแน่นอน เหมือนอย่างเช่นแรงผลักดันเดียวกันนี้ของชาวอเมริกันยุคเบบี้บูมที่ได้จารึกไว้ในครึ่งหลังของช่วงศตวรรษที่ผ่านมา

สัดส่วนทางประชากรในสหรัฐฯชี้ว่า ชนกลุ่มน้อยในอเมริกาที่ประกอบไปด้วย ชาวอเมริกันเชื้อสายลาตินอเมริกัน อเมริกันเชื้อสายเอชีย แอฟริกันอเมริกัน และอเมริกันที่มีเชื้อสายหลากหลาย จะเพิ่มจำนวนมากกว่า 2 เท่าในอีก 40 ปีข้างหน้า ซึ่งความจริงแล้วในขณะนี้ ชนกลุ่มน้อยเหล่านี้มีอัตราการเติบโตทางประชากรสูงกว่า 90 %

และเมื่อมองย้อนกลับไปที่ฐานของ GOP ซึ่งส่วนใหญ่เป็นอเมริกันผิวขาวและมีแนวโน้มที่มีอายุมาก แต่กลับมีอัตราการเติบโตประชากรต่ำ และในอีก 10 ปีข้างหน้าขนาดประชากรของคนกลุ่มนี้จะลดลง ซึ่งความจริงแล้วในปัจจุบันนี้พบว่า จำนวนประชากรอเมริกันผิวขาวเริ่มลดลงในหมู่ประชากรผู้เยาว์ของประเทศ เช่นเดียวกับประชากรผิวขาวในทุกช่วงวัยในสหรัฐฯ

และหากสิ่งนี้เกิดขึ้น จะทำให้ประชากรอายุน้อยที่เป็นชนกลุ่มน้อยในอเมริกาจะเพิ่มจำนวน และกลายเป็นประชากรหลักตามช่วงวัยต่างๆในสหรัฐฯอย่างช้าๆ ไม่ว่าจะเป็นในช่วงวัยเด็ก ช่วงวัยเริ่มต้นการทำงาน และในอนาคตอันใกล้จะกลายเป็นกลุ่มพลเมืองในวัยกลางคน และที่สำคัญที่สุด “เป็นผู้กุมคะแนนเสียงชี้ชะตาพรรคการเมืองในสหรัฐฯ”

ซาลอน นิวส์ รายงานต่อว่า ในขณะนี้ประชากรเด็กชนกลุ่มน้อยมีสัดส่วนถึงครึ่งหนึ่งของประชากรเด็กทั้งหมดใน 10 รัฐทั่วสหรัฐฯ และก่อนปี 2027 ประชากรชนกลุ่มน้อยส่วนใหญ่จะมีอายุอยู่ในช่วง 20-29 ปี และก่อนปี 2043 จะกลายเป็นชนกลุ่มมากของพลเมืองสหรัฐฯแทนที่อเมริกันผิวขาวในที่สุด

นอกจากนี้เมื่อพิจารณาถึงโครงการต่างๆของสหรัฐฯ ข้อมูลจากสถาบันวิจัยพิวตัน และสำนักการทำวิจัยอื่นชี้ว่า พลเมืองผิวขาว และพลเมืองที่มีอายุของสหรัฐฯ มีความต้องการที่จะให้รัฐบาลกลางสหรัฐฯไม่ทำตัวเป็น “Big Government” โดยการใช้เงินภาษีของพวกเขาในโครงการช่วยเหลือสังคมต่างๆ ยกเว้นในการใช้เงินเพื่ออุดหนุนในโซซิเคียวริตี หรือประกันสังคม ที่ถือว่าคนเหล่านี้มีมีส่วนได้ส่วนเสียโดยตรง ซึ่งส่งผลให้มีการลงคะแนนสนับสนุนอย่างล้นหลาม โดยผู้ลงคะแนนเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นผู้สนับสนุนพรรครีพับลิกันทั้งสิ้น

ในขณะที่ประชาชนอเมริกันที่ยังมีอายุน้อย ที่ส่วนมากเป็นผู้สนับสนุนพรรคเดโมแครต ต้องการให้รัฐบาลกลางสหรัฐฯสนับสนุนในระบบการศึกษาอเมริกัน รวมถึง ปัญหาอัตราดอกเบี้นการกู้ยืมทางการศึกษา ทั้งนี้เพราะส่วนใหญ่แล้วพลเมืองอเมริกันมักจะจ่ายคืนเงินกู้ครบก็ต่อเมื่อเลยช่วงวัยกลางคนไปแล้ว เช่น โอบามายอมรับว่า ทั้งเขาและภรรยาเพิ่งสามารถชำระหนี้การศึกษาที่ได้กู้ยืมตั้งแต่สมัยเรียนได้ครบถ้วนไม่กี่ปีที่ผ่านมา และคนรุ่นใหม่ชนกลุ่มน้อยเหล่านี้ยังสนับสนุนให้รัฐบาลกลางสหรัฐฯเทเงินภาษีอุดหนุนประกันสุขภาพ และโครงการช่วยเหลือทางสวัสดิการสังคมต่างๆ เช่น ฟูดส์สแตมป์

และจากทั้งหมดนี้ สร้างความวิตกให้กับอเมริกันผิวขาวในยุคเบบี้บูมเป็นอันมาก ที่เห็นว่าพลเมืองอมริกันหน้าใหม่ที่ล้วนเป็นผลผลิตจากการอพยพมาจากประเทศอื่นในช่วงหลัง จะทำให้ค่านิยมและรูปแบบการใช้ชีวิตของชาวอเมริกันในอดีตต้องเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง อ้างอิงจากผลสำรวจของสถาบันพิวรีเสิร์ชในปี 2011
คลิปโฆษณาการเมืองอันโด่งดังไปทั่วสหรัฐฯ "ดิฉันรู้จักวิธีเชือดหมู เราไปทำให้ "วอชิงตัน/ทำเนียบขาว" ต้องร้องเหมือนหมูกันเถอะ" ส่งผลให้โจนี เอิร์นสต์ (Joni Ernst)ทำให้พรรครีพับลิกันสามารถครองเสียงข้างมากของสภาสูงสหรัฐฯสำเร็จ และเธอได้ดำรงตำแหน่งสว. รัฐไอโอวา เอาชนะคู่แข่งจากเดโมแครตไปได้




ทั้งนี้ NBC News สื่อสหรัฐฯ รายงานเพิ่มเติมวิเคราะสัดส่วนทางประชากรศาสตร์ของผู้ออกมาใช้สิทธิ์การเลือกตั้งกลางเทอมสหรัฐฯ 2014 และให้ความเห็นวิธีที่เดมจะสามารถหยุดกำแพงสึนามิของ GOP ได้ สื่อสหรัฐฯชี้ว่าเดโมแครตต้องเรียกฐานเสียงของตนเองกลับเข้าสู่คูหาการเลือกตั้งอีกครั้งเหมือนเช่นที่ทำสำเร็จในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ 2 ครั้งที่ผ่านมา

เพราะพบว่าในเลือกตั้งกลางเทอมสหรัฐฯล่าสุด มีกลุ่มผู้สิทธิ์ลงคะแนนเสียงคนรุ่นใหม่ ช่วงอายุ18-29 ปีทั่วประเทศเพียงแค่ 13 % ซึ่งต่างจากการเลือกตั้งในปี 2012 ที่พบว่า 1 ใน 5 ของผู้ใช้สิทธิ์มีอายุต่ำกว่า 30 ปี

และนอกจากนี้ยังพบว่า จำนวนของผู้มีสิทธิ์ออกเสียงมากกว่า 1 ใน 5 หรือ 21 %ของการเลือกตั้งในรอบนี้เป็น “ซิงเกิลมัม” หรือหญิงที่มีบุตรแต่ไม่ได้สมรส ที่ส่วนใหญ่ 38% โหวตให้กับเดโมแครต เมื่อเปรียบเทียบกับการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ 2012 ซิงเกิลมัมกลับมีสัดส่วนมากถึง 23 %

ด้านผู้ลงคะแนนแอฟริกันอเมริกัน NBC News พบว่าชาวผิวสีออกมาใช้สิทธิ์มีสัดส่วนแค่ 12% ในการออกเสียงเลือกตั้งครั้งนี้ เมื่อเทียบกับปี 2012 ที่มีสัดส่วน 13%

และสื่อสหรัฐฯยังพบเพิ่มเติมว่า ผู้สิทธิการเลือกตั้งอเมริกันเชื้อสายลาตินอเมริกา ที่หลังจากต้องพบกับความผิดหวังในนโยบายปฎิรูปการเมืองสหรัฐฯ ซึ่งประธานาธิบดีสหรัฐฯยังผลักดันไม่สำเร็จ ทำให้ชาวอเมริกันเชื้อสายลาตินอเมริกันหล่านั้นออกมาใช้สิทธิ์เพียงแค่ 8% ในการเลือกตั้งกลางเทอมสหรัฐฯ 2014 เมื่อเทียบกับปี 2012 ที่ออกมาใช้สิทธิ์ถึง 12 % ของจำนวนผู้มีสิทธิ์ออกเสียงทั้งหมด

ทั้งนี้การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ 2012 นั้น ประชาชนอเมริกันเชื้อสายลาตินอเมริกันได้ฝากความหวัง เลือกโอบามากลับเข้ามาถึง 44 % เมื่อเทียบกับการออกเสียงให้มิตต์ รอมนีย์ เพียง27%













กำลังโหลดความคิดเห็น