เอเอฟพี/รอยเตอร์ – ซาอุดีอาระเบียประสบความสำเร็จในการป้องกันโรคระบาดอย่างโรคทางเดินหายใจตะวันออกกลาง (MERS-CoV) และไวรัสอีโบลาในช่วงที่ชาวมุสลิมราว 2 ล้านคนเดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์ที่นครเมกกะในปีนี้ รักษาการรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขซาอุดีอาระเบียแถลงวันนี้(6)
ประเทศมุสลิมซึ่งรุ่มรวยด้วยทรัพยากรน้ำมัน และยังเป็นที่ตั้งของศาสนสถานที่สำคัญที่สุดของศาสนาอิสลาม ได้ระดมกำลังเจ้าหน้าที่สาธารณสุขหลายพันคนปฏิบัติงานในช่วงพิธีฮัจญ์ เพื่อให้มั่นใจว่าผู้แสวงบุญที่เดินทางมาจากทุกสารทิศจะปลอดภัยจากไวรัสร้ายแรงทั้ง 2 ชนิด
อเดล ฟากีอะห์ รักษาการรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขซาอุฯ ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชน ในขณะที่ผู้แสวงบุญชาวมุสลิมกำลังประกอบพิธีฮัจญ์ในขั้นสุดท้าย และทยอยเดินทางกลับบ้าน
“ผมมีความยินดีอย่างยิ่งที่จะประกาศให้ทราบว่า พิธีฮัจญ์ปีนี้ปลอดจากโรคระบาดทุกชนิด” ฟากีอะห์ กล่าว
ในบรรดาแผนป้องกันต่างๆ ที่ถูกนำมาใช้ กระทรวงสาธารณสุขซาอุฯ ยังได้จัดตั้ง “ศูนย์ควบคุมและบัญชาการ” เพื่อดูแลงานด้านสาธารณสุขในช่วงพิธีฮัจญ์โดยตรง และกำหนดให้ผู้แสวงบุญทุกคนต้องตอบแบบสอบถามสุขภาพด้วย
ทางการซาอุฯ ได้ติดตั้งกล้องตรวจจับความร้อนเพื่อคัดกรองผู้โดยสารเครื่องบินที่มีอาการไข้สูง และเปิดห้องกักโรคทั้งหมด 15 ห้องที่สนามบินเจดดาห์ สำหรับเฝ้าดูอาการบุคคลต้องสงสัย
ฟากีอะห์ ระบุว่า เจ้าหน้าที่พบผู้ต้องสงสัยว่าจะติดเชื้อไวรัส MERS รวม 170 คน แต่เมื่อตรวจร่างกายโดยละเอียดแล้วพบว่าไม่ได้มีเชื้อแต่อย่างใด
ซาอุดีอาระเบียเป็นประเทศที่ไวรัส MERS ระบาดรุนแรงที่สุด โดยมีผู้เสียชีวิตแล้ว 322 รายนับตั้งแต่พบผู้ป่วยรายแรกในเดือนกันยายน ปี 2012
เมื่อวานนี้(5) กระทรวงสาธารณสุขซาอุฯ รายงานยอดผู้เสียชีวิตจากเชื้อไวรัส MERS เพิ่มอีก 2 ราย รายหนึ่งเป็นผู้ป่วยในกรุงริยาด ส่วนอีกรายเป็นผู้ป่วยจากเมืองตออีฟ (Taif) ซึ่งอยู่ห่างจากนครเมกกะไปทางตะวันออกราว 80 กิโลเมตร
ด้านไวรัสอีโบลาก็ได้คร่าชีวิตผู้ป่วยในภูมิภาคแอฟริกาตะวันตกไปแล้วกว่า 3,000 คน ซึ่งทำให้รัฐบาลซาอุฯ ไม่อนุญาตให้ชาวมุสลิมจากกินี, ไลบีเรีย และเซียร์ราลีโอน เข้ามาประกอบพิธีฮัจญ์ที่นครเมกกะในปีนี้