รอยเตอร์ – มาเลเซียคือหนึ่งในประเทศที่เลวร้ายที่สุดในโลกสำหรับบุคคลข้ามเพศ ฮิวแมนไรต์วอทต์ (HRW) องค์การด้านสิทธิมนุษยชนระดับโลก กล่าวในรายงานวันนี้ (25) โดยชี้แจงรายละเอียดของการทารุณอย่างเป็นระบบโดยเจ้าหน้าที่ทางศาสนาและตำรวจ รวมถึงการทำร้ายและการขู่บังคับทางเพศ
รายงานซึ่งสรุปจากการสัมภาษณ์บุคคลข้ามเพศมากกว่า 40 คน ได้ชี้ว่า การใช้วาทกรรม “ที่เผ็ดร้อนรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ” โดยเจ้าหน้าที่รัฐบาล นักการเมือง และผู้นำทางศาสนาในประเทศที่ประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิมแห่งนี้ เป็นต้นเหตุของความเสื่อมทรามในเรื่องสิทธิ
มาเลเซียได้กลายมาเป็นประเทศอนุรักษ์นิยมอิสลามอย่างมั่นคงในช่วง 2-3 ทศวรรษที่ผ่านมา โดยทุกๆ รัฐเสนอให้มีการตรากฎหมายสำหรับมุสลิมที่ลงโทษ “ผู้ชายที่แสร้งทำตัวเป็นผู้หญิง” หรือในทางกลับกัน โดยรายงานจากองค์กรที่มีฐานอยู่สหรัฐฯแห่งนี้ ระบุว่า มาเลเซีย ที่ซึ่งหน่วยงานอิสลามสั่งห้ามการศัลยกรรมแปลงเพศในปี 1982 คือหนึ่งในไม่กี่ประเทศ ซึ่งรวมถึง ไนจีเรีย และคูเวต ที่ลงโทษบุคคลข้ามเพศ
“มาเลเซียคือหนึ่งในประเทศที่เลวร้ายที่สุดสำหรับคนข้ามเพศ เพราะกฎหมายเอาผิด , การจับกุมที่ดำเนินการโดยรัฐ และนักการเมืองที่ใช้วาทกรรมสร้างความเกลียดชัง” บอริส ดิททริก ผู้อำนวยการสนับสนุนของโครงการสิทธิเลสเบียน , เกย์ , ผู้รักร่วมเพศ และคนข้ามเพศ (LGBT) ของฮิวแมนไรต์วอตช์ กล่าว
รายงานฉบับนี้เรียกร้องให้นายกรัฐมนตรี นาจิบ ราซัก ผู้ประกาศไปทั่วโลกว่านิยมแนวทางสายกลาง ถอนคำพูดในถ้อยแถลงที่เขากล่าวเมื่อปี 2012 ว่า มีความจำเป็นที่จะต้องสู้กับ 3 “ลัทธิ” คือ ลัทธิพหุนิยม , เสรีนิยม และLGBT
รายงาน 73 หน้าฉบับนี้ประกอบด้วยคำให้การของสตรีข้ามเพศคนหนึ่งที่กล่าวว่า เธอเคยถูกเปลื้องผ้าและทำร้ายทางเพศโดยเจ้าหน้าที่กรมศาสนาของรัฐเมื่อปี 2011 ขณะที่คนอื่นๆ ระบุว่า พวกเขาถูกจับกุม และบังคับให้เข้าร่วมการประชุม “ให้คำปรึกษา” ที่เจ้าหน้าที่อิสลามจะสั่งสอนให้พวกเขาเป็น “ผู้ชาย”
ผู้หญิงบางคน กล่าวว่า พวกเธอถูกจำคุกสูงสุดถึง 3 ปี โดยหลายคนถูกส่งไปอยู่เรือนจำชาย และถูกเพื่อนักโทษทำร้ายทางเพศ ขณะที่การเลือกปฏิบัติอย่างแพร่หลายของนายจ้างทำให้คนข้ามเพศจำนวนหนึ่งต้องลงเอยด้วยการขายบริการทางเพศ ซึ่งทำให้พวกเธอต้องเผชิญกับความเสี่ยงสูงยิ่งกว่า
สตรีข้ามเพศหลายคนได้ยื่นฟ้องคดีที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน เพื่อคัดค้านกฎหมายอิสลามหรือชารีอะห์ในรัฐเนกรีเซมบีลัน โดยให้เหตุผลว่า เป็นการละเมิดกฎหมายรัฐธรรมนูญมาเลเซีย ซึ่งรับรองเสรีภาพในการแสดงออกและความเท่าเทียม และคาดกันว่าศาลจะมีคำตัดสินออกมาในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน
