เอเอฟพี/รอยเตอร์ - คณะลูกขุนศาลแขวงในนครนิวยอร์กมีคำวินิจฉัยวานนี้ (22 ก.ย.) ว่า ธนาคารอาหรับ (Arab Bank) ซึ่งมีฐานอยู่ในจอร์แดน มีความผิดฐานสนับสนุนการก่อการร้ายถึง 24 กระทงจากการโอนเงินทุนไปช่วยเหลือกลุ่มติดอาวุธฮามาสในปาเลสไตน์ นับเป็นสถาบันการเงินแห่งแรกที่ถูกตัดสินว่าสนับสนุนการก่อการร้าย
คณะลูกขุนใช้เวลาวินิจฉัยเกือบ 2 วันเต็ม หลังจากที่ศาลแขวงบรุกลินได้เริ่มไต่สวนคดีนี้มาเป็นเวลา 1 เดือน สืบเนื่องจากคำฟ้องที่ยื่นต่อศาลรัฐบาลกลางเมื่อปี 2004
“นี่ถือว่าเป็นก้าวที่สำคัญ” แกรี โอเซน หนึ่งในทีมทนายของโจทก์ 300 คน ซึ่งเป็นเหยื่อและญาติของเหยื่อที่ต้องสูญเสียจากเหตุโจมตี 24 ครั้งทั้งในอิสราเอลและดินแดนปาเลสไตน์ระบุ
“เป็นครั้งแรกที่สถาบันการเงินถูกตัดสินว่ามีส่วนสนับสนุนการก่อการร้าย แต่คำถามก็คือ หลังจากนี้สถาบันการเงินอื่นๆ และผู้ตรวจสอบจะจัดการอย่างไรกับองค์กรของตนเอง และจะมีท่าทีอย่างไรต่อคำตัดสินนี้”
ธนาคารอาหรับซึ่งมีมูลค่าสินทรัพย์รวมกว่า 46,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ยืนยันว่าจะอุทธรณ์คำตัดสินของคณะลูกขุนสหรัฐฯ โดยชี้ว่า “กระบวนการไต่สวนมีข้อผิดพลาดหลายอย่าง” และจะขอให้ศาลอุทธรณ์ (United States Court of Appeals for the Second Circuit ) พิจารณาคดีนี้ใหม่
“นอกจากจะตัดสินผิดแล้ว ศาลยังไม่เปิดโอกาสให้พยานฝ่ายธนาคารได้นำเสนอข้อมูลโต้แย้ง และปิดโอกาสไม่ให้พยานคนอื่นๆ ได้ชี้แจง”
แชนด์ สตีเฟนส์ ทนายของธนาคารอาหรับ ให้สัมภาษณ์ว่า คณะลูกขุนไม่ควรตัดสินจาก “หลักฐานที่อ่อน” พร้อมแสดงความมั่นใจว่าจะต้องมีการ “กลับคำวินิจฉัย” อย่างแน่นอน
ด้านผู้พิพากษาศาลแขวง ไบรอัน โคแกน ชี้ว่า “คดีนี้ยังไม่จบง่ายๆ”
นักวิเคราะห์คาดว่า หลังจากนี้น่าจะมีการยื่นคำร้องให้ศาลแขวงบรุกลินกลับคำพิพากษา จากนั้นจึงจะมีการยื่นอุทธรณ์ ซึ่งคงต้องใช้เวลาไต่สวนกันอีกนานหลายปี นอกจากนี้ยังต้องมีการแยกพิจารณาต่างหากอีกว่า ธนาคารอาหรับจะต้องจ่ายค่าเสียหายต่อฝ่ายโจทก์มากน้อยเท่าใด
ทนายจำเลยโต้แย้งว่า โจทก์ไม่มีหลักฐานพิสูจน์ได้ว่าผู้บริหารธนาคารอาหรับสนับสนุนการก่อการร้ายจริง และยังปฏิเสธข้อกล่าวหาที่ว่าสถาบันการเงินแห่งนี้มีเจตนาโอนเงินไปให้บุคคลที่ถูกขึ้นบัญชีดำก่อการร้าย
ฝ่ายโจทก์ระบุว่า ธนาคารแห่งนี้ได้โอนเงินกว่า 70 ล้านดอลลาร์สหรัฐไปให้องค์กรก่อการร้ายในซาอุดีอาระเบีย ตลอดจนมูลนิธิต่างๆที่เป็นฉากบังหน้าของกลุ่มฮามาส และลูกค้าที่ถูกประกาศให้เป็นผู้ก่อการร้ายอีก 11 ราย
อัยการ มาร์ก เวิร์บเนอร์ ชี้ว่า ธนาคารอาหรับควรจะทราบดีอยู่แล้วว่าการช่วยเหลือกลุ่มฮามาสจะ “ส่งผลร้ายแรงตามมา และนั่นก็เป็นเหตุผลเพียงพอที่พวกเขาจะต้องรับผิดชอบ”
ศาลได้รับแจ้งว่า ธนาคารแห่งนี้ได้โอนเงิน 60,000 ดอลลาร์สหรัฐไปให้แก่ ชัยค์ อาเหม็ด ยาสซิน ผู้นำจิตวิญญาณของกลุ่มติดอาวุธฮามาสซึ่งถูกอิสราเอลลอบสังหารในปี 2004 โดยการสะกดชื่อของเขาอย่างผิดๆ ซึ่งทำให้ระบอบซอฟต์แวร์คัดกรองรายชื่อผู้ก่อการร้ายไม่สามารถตรวจจับได้
ทั้งนี้ สถาบันการเงินทุกแห่งที่มีสำนักงานในสหรัฐฯ รวมถึงธนาคารอาหรับ จะใช้ซอฟต์แวร์อัตโนมัติตัวเดียวกันเพื่อตรวจสอบรายชื่อผู้ทำธุรกรรมการเงินกับบุคคลที่ถูกขึ้นบัญชีดำก่อการร้าย
ธนาคารอาหรับยืนยันว่า ที่ผ่านมาธนาคารมีนโยบายปิดบัญชีทันทีหากเจ้าของบัญชีถูกประกาศเป็นผู้ก่อการร้าย
ฝ่ายโจทก์ยังกล่าวหาอีกว่า ธนาคารอาหรับละเมิดกฎหมายต่อต้านก่อการร้ายปี 2001 เพราะเป็น “ช่องทาง” ส่งเงินช่วยเหลือจากกองทุนแห่งหนึ่งในซาอุดีอาระเบียไปยังครอบครัวชาวปาเลสไตน์ที่เสียชีวิต รวมถึงคนที่เป็นมือระเบิดฆ่าตัวตาย และกลุ่มฮามาสซึ่งถูกสหรัฐฯ ประกาศให้เป็นองค์กรก่อการร้ายก็ได้รับเงินอุดหนุนจากกองทุนแห่งนี้เช่นกัน
อย่างไรก็ดี สตีเฟนส์ซึ่งเป็นทนายฝ่ายจำเลยโต้แย้งว่า ธนาคารอาหรับให้บริการธุรกรรมทางการเงินแก่ลูกค้าตามปกติ และไม่มีมูลนิธิใด รวมไปถึงกองทุนซาอุฯที่ถูกอ้างถึง มีรายชื่ออยู่ในบัญชีดำของสหรัฐฯ องค์การสหประชาชาติ หรือสหภาพยุโรป ในช่วงเวลานั้น
เจค็อบ แฟรงเกล อดีตอัยการสหรัฐฯ ให้สัมภาษณ์กับเอเอฟพีว่า คำตัดสินนี้ไม่น่าจะมีผลต่อการออกใบอนุญาตประกอบการในสหรัฐฯ เนื่องจากเป็นการยื่นฟ้องโดยบุคคลธรรมดา “แต่ก็เป็นการส่งสัญญาณเตือนถึงสถาบันการเงินอื่นๆ ว่า การทำธุรกิจกับองค์กรหรือบุคคลที่ถูกขึ้นบัญชีดำอาจทำให้ทรัพย์สินของพวกเขาตกอยู่ในความเสี่ยง หากยังคิดดำเนินกิจการบนแผ่นดินสหรัฐฯอยู่”
ธนาคารอาหรับมีสาขามากกว่า 600 แห่งใน 30 ประเทศทั่วโลก