รอยเตอร์ – ครอบครัวผู้โดยสารชาวเยอรมันบนเที่ยวบิน MH17 ของสายการบิน “มาเลเซียแอร์ไลน์ส” ที่ถูกยิงตกทางภาคตะวันออกของยูเครน มีแผนจะยื่นฟ้องเคียฟ และประธานาธิบดียูเครน ฐานประมาทจนเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย 298 คดี ทนายความซึ่งรับผิดชอบคดีของพวกเขาระบุ
เอลมาร์ กีมุลลา อาจารย์ประจำภาควิชากฎหมายการบิน ซึ่งเป็นตัวแทนครอบครัวผู้โดยสารชาวเยอรมันที่เสียชีวิตไปสามคนกล่าวว่า ตามกฎหมายระหว่างประเทศ ยูเครนควรสั่งปิดน่านฟ้า หากไม่สามารถรับรองได้ว่าอากาศยานจะสามารถบินผ่านได้อย่างปลอดภัย
กีมุลลา ระบุในคำแถลงที่ส่งถึงรอยเตอร์ทางอีเมลว่า “แต่ละชาติต้องรับผิดชอบต่อความมั่นคงปลอดภัยในน่านฟ้าของตน แต่หากประเทศนั้นๆ ไม่สามารถทำได้เป็นการชั่วคราวก็ต้องปิดน่านฟ้า และยูเครนต้องรับผิดต่อความเสียหายที่เกิดขึ้น จากการที่ไม่ได้ทำเช่นนั้น”
หนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ บิลด์ อัม ซอนน์ทาก รายงานคำพูดของ กีมุลลาที่ระบุว่า การไม่สั่งปิดน่านฟ้า เท่ากับ ยูเครนได้ยอมรับว่า คนบริสุทธิ์เกือบสามร้อยชีวิตจะถูก “ทำลาย” ซึ่งสิ่งที่ยูเครนทำเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน
เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม เครื่องบินโดยสารลำนี้โหม่งโลกทางภาคตะวันออกของยูเครน ซึ่งถูกกบฏยึดครอง จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตทั้งสิ้น 298 ราย โดยที่ 2 ใน 3 ของผู้โดยสารเป็นชาวเนเธอร์แลนด์ และมีชาวเยอรมันจบชีวิตไป 4 คน
ยูเครน และบรรดาชาติตะวันตกต่างกล่าวหาว่า กลุ่มติดอาวุธนิยมรัสเซียซึ่งกำลังเคลื่อนไหวแบ่งแยกดินแดนทางภาคตะวันออกของยูเครนได้ใช้ขีปนาวุธเทคโนโลยีชั้นสูงที่ผลิตในรัสเซีย ยิงอากาศยานลำนี้ตกลงมา ขณะที่มอสโกออกมาปฏิเสธว่า ไม่เคยจัดหาระบบขีปนาวุธต่อสู้อากาศยาน บุค SA-11 ให้แก่กบฏ
กีมุลลาวางแผนจะฟ้องยูเครน และโปโรเชนโก ต่อศาลสิทธิมนุษยชนยุโรปในอีกราว 2 สัปดาห์ข้างหน้า พร้อมทั้งกล่าวหาว่า ยูเครนและผู้นำประมาทจนเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย 298 คดี นอกจากนี้เขายังจะฟ้องเรียกค่าชดเชยให้ผู้เสียชีวิตรายละ 1 ล้านยูโร (ราว 41.3 ล้านบาท)
ทางด้าน มาเลเซียแอร์ไลน์สได้เสนอจะมอบเงินช่วยเหลือให้ครอบครัวผู้เสียชีวิตครอบครัวละ 5,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1.6 แสนบาท) แต่กล่าวว่า ความช่วยเหลือดังกล่าวจะไม่ตัดสิทธิจากการฟ้องร้องเรียกค่าชดเชยถึงทีสุด หรือตัดสิทธิในการเรียกร้องตามกฎหมายครอบของครัวผู้สูญเสีย