เอเจนซีส์ – โศกนาฏกรรมการบินที่เกิดขึ้นถึง 2 ครั้ง 2 คราในปีนี้ทำให้สายการบินแห่งชาติแดนเสือเหลือง มาเลเซียแอร์ไลน์ส เผชิญปัญหาสภาพคล่องอย่างรุนแรง จากภาพถ่ายที่ผู้โดยสารบางคนนำมาเผยแพร่พบว่า บางเที่ยวบินต้องออกเดินทางสู่จุดหมายในสภาพ “เปลี่ยวร้างผู้คน”
เมื่อกลางดึกวันที่ 8 มีนาคม MH370 ซึ่งออกเดินทางจากสนามบินกัวลาลัมเปอร์ไปยังกรุงปักกิ่ง ได้สูญหายไปพร้อมกับลูกเรือ 12 คนและผู้โดยสารอีก 227 ชีวิต ซึ่งจนบัดนี้ชะตากรรมของมันก็ยังเป็นปริศนาคาใจคนทั่วโลก
ล่าสุดเมื่อเดือนที่แล้ว มาเลเซียแอร์ไลน์ส ถูกมรสุมลูกใหญ่พัดกระหน่ำอีกครั้ง เมื่อเที่ยวบิน MH17 จากกรุงอัมสเตอร์ดัมถูกขีปนาวุธยิงตกเหนือน่านฟ้าภาคตะวันออกของยูเครน ทำให้ผู้โดยสาร 283 คนและลูกเรือ 15 คน จบชีวิตลงพร้อมกันทั้งหมด
แม้อุบัติเหตุครั้งหลังจะโทษว่าเป็นความผิดพลาดของมาเลเซียแอร์ไลน์สแต่ผู้เดียวคงไม่ถูกนัก เพราะสายการบินใหญ่ๆ หลายบริษัทก็ใช้เส้นทางผ่านพื้นที่ขัดแย้งเช่นกัน แต่ถึงกระนั้น ภาพลักษณ์ของมาเลเซียแอร์ไลน์สก็ถูกโยงเข้ากับความสูญเสียไปแล้วอย่างช่วยไม่ได้
ผลประกอบการของสายการบินแห่งนี้ขาดทุนต่อเนื่องมา 5 ปีซ้อน ก่อนที่จะเกิดหายนะขึ้นกับ MH370 และ MH17 ในปีนี้ ทว่าบริษัทยังยืนยันที่จะประกอบธุรกิจต่อไปทั้งที่ชื่อเสียงป่นปี้
“สายการบินจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แห่งนี้ต้องเบิกเงินสดสำรองของบริษัทออกมาใช้วันละเกือบ 2,160,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 68 ล้านบาท)” โอลิเวอร์ แม็คกี อาจารย์จากมหาวิทยาลัยโฮเวิร์ดในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ระบุ
“พวกเขาต้องขาดทุนประมาณ 1,600,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ( 51 ล้านบาท) ต่อวัน”
เว็บไซต์ข่าว news.com.au ของออสเตรเลีย รายงานว่า มาเลเซียแอร์ไลน์สยอมจ่ายค่าคอมมิชชันให้แก่บริษัทนำเที่ยวออสเตรเลียเพิ่มจาก 6% เป็น 11% เพื่อให้เลือกใช้บริการกับสายการบินของตน และยังลดราคาตั๋วโดยสารให้ถูกลงอย่างมากเมื่อเทียบกับสายการบินอื่น เช่น เที่ยวบินไปกลับกัวลาลัมเปอร์-ปักกิ่ง ราคาเพียง 238 ดอลลาร์สหรัฐฯ (7,600 บาท) ขณะที่สายการบินอื่นๆ จะคิดค่าโดยสารในเส้นทางเดียวกันสูงกว่า 500 ดอลลาร์สหรัฐฯ(ราว 16,000 บาท)
แม้จะยอมขาดทุนถึงขนาดนี้แล้ว แต่เที่ยวบินส่วนใหญ่ของมาเลเซียแอร์ไลน์สก็ยังมีที่นั่งว่างกว่าครึ่งค่อนลำ
เมื่อต้นเดือนนี้ บริษัท คอซานาห์ เนชันแนล หน่วยงานด้านการลงทุนของรัฐบาลเสือเหลืองซึ่งถือหุ้นใหญ่ในมาเลเซียแอร์ไลน์ส ประกาศปรับโครงสร้างสายการบินแห่งชาติครั้งใหญ่ โดยจะซื้อคืนหุ้น 31% ของสายการบินจากบรรดาผู้ถือหุ้นรายย่อย
รายละเอียดของการ “ยกเครื่อง” ครั้งนี้ไม่ถูกเปิดเผย แต่เป็นไปได้ที่จะมีการเปลี่ยนชื่อ, รีแบรนด์ หรือปรับโครงสร้างพนักงานใหม่ทั้งหมด แต่ถึงจะใช้มาตรการขั้นสุดโต่งเหล่านี้แล้วก็ยังยากที่จะจินตนาการว่า มาเลเซียแอร์ไลน์ส จะลบภาพจำจากเหตุการณ์ MH370 และ MH17 ออกจากใจผู้คนไปได้อย่างไร