เอเจนซีส์ - ข่าวการเผชิญหน้ากันในบริเวณชายแดนห่างไกลระหว่างกองทหารอินเดียและจีน ทำให้บรรยากาศการเยือนนิวเดลีของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง กร่อยลงถนัดใจ หลังจากการประกาศลงทุนมูลค่า 20,000 ล้านดอลลาร์ของปักกิ่ง ถูกบดบังด้วยการวิจารณ์ของนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี เรื่องกรณีพิพาทชายแดน
หลังการหารือยาวนานเมื่อวันพฤหัสบดี (18 ก.ย.) โมดี และสี ออกมาแถลงข่าวร่วมกันสั้นๆ ภายหลังจากที่เจ้าหน้าที่ยืนยันว่า ทหารของสองประเทศถอนจากที่ราบลาดักห์ บนเทือกเขาหิมาลัยด้านตะวันตก ที่ทั้งจีนและอินเดียอ้างสิทธิ์แล้ว
โมดีกล่าวเสียงเข้มว่า ได้หยิบยกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าบริเวณชายแดน ขึ้นหารือกับผู้นำจีน
“ความสัมพันธ์และชายแดนของเราควรมีสันติภาพ เพื่อให้เราสามารถผลักดันศักยภาพที่แท้จริงในความสัมพันธ์” โมดีแถลง โดยมี สี ยืนอยู่ด้านขวา
รายงานข่าวระบุว่า ทหารนับสิบของทั้งสองฝ่ายเผชิญหน้ากันบนที่ราบลาดักห์ มาตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว เนื่องจากข้อพิพาทเกี่ยวกับงานโครงสร้างพื้นฐานตรงบริเวณใกล้ๆ กับเส้นพรมแดนทางพฤตินัย โดยที่บริเวณแถบนี้ได้เคยเป็นสมรภูมิการสู้รบกันช่วงสั้นๆ แต่นองเลือดของทั้งสองประเทศเมื่อปี 1962 และล่าสุดสมาชิกรัฐสภาของลาดักห์เผยว่า ทหารจีนราว 1,000 คนได้ข้ามเข้าไปในแดนของอินเดียบริเวณที่เป็นข้อพิพาทเมื่อวันพุธ (17) ซึ่งเป็นวันที่สีเดินทางถึงอินเดีย
ผู้นำอินเดียเรียกร้องให้มีการเจรจาไกล่เกลี่ยโดยเร็วเพื่อให้ความขัดแย้งนี้ยุติลง โดยนับจากต้นทศวรรษ 1990 มีการหารือกันถึง 17 ครั้ง ทว่า ปราศจากความคืบหน้าเป็นชิ้นเป็นอัน อย่างไรก็ดี นับจากเข้ารับตำแหน่งเมื่อเดือนพฤษภาคม โมดียังไม่ได้แต่งตั้งผู้แทนพิเศษเพื่อรื้อฟื้นการเจรจากับจีนแต่อย่างใด
ทางด้าน สี พยายามผ่อนคลายความตึงเครียดโดยขานรับว่า จีนและอินเดียควรร่วมแก้ปัญหาชายแดนโดยเร็ว ซึ่งเป็นถ้อยคำที่ปักกิ่งใช้มาตลอด
“บางครั้งอาจมีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้น แต่เราทั้งคู่มีความสามารถอย่างเต็มที่ในการดำเนินการเพื่อจัดการกับสถานการณ์อย่างมีประสิทธิภาพโดยเร็ว” ผู้นำจีนแถลง
แม้สถานการณ์ค่อนข้างตึงเครียด แต่ผู้นำทั้งสองสามารถผลักดันข้อตกลงในการยกระดับความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างกันลุล่วง โดยจีนตกลงลงทุน 20,000 ล้านดอลลาร์เพื่อสร้างนิคมอุตสาหกรรมและโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งรวมถึงเทคโนโลยีรางรถไฟในอินเดีย
ทั้งคู่ยังเห็นพ้องให้เริ่มเปิดเจรจาความร่วมมือในอุตสาหกรรมพลังงานนิวเคลียร์ และสีสำทับว่า จีนจะสนับสนุนอินเดียเข้าเป็นสมาชิกเต็มตัวในองค์การความร่วมมือเซี่ยงไฮ้ (เอสซีโอ) ซึ่งเป็นองค์การด้านความมั่นคงภายในภูมิภาค แบะมีสมาชิกรายสำคัญคือจีน รัสเซีย
เกี่ยวกับเรื่องนี้ กระทรวงต่างประเทศจีนแถลงจากปักกิ่งว่า จีนยินดีต้อนรับอินเดียและปากีสถานเข้าสู่เอสซีโอ) รวมทั้งยืนยันว่าสถานการณ์การเผชิญหน้าระหว่างทหารจีนกับอินเดียอยู่ภายใต้การควบคุมแล้ว
โมดีนั้นต้องการการลงทุนจากจีนเพื่อลดยอดขาดดุลการค้ามีต่อแดนมังกร โดยสีให้สัญญาเปิดรับบริษัทอินเดียเข้าสู่อุตสาหกรรมเวชภัณฑ์ การเกษตร และเชื้อเพลิงของจีนมากขึ้น
เอ็ม.ดี. นาลาภัต หัวหน้าแผนกภูมิรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยมานิปาล ของอินเดีย ชี้ว่า รัฐบาลชุดใหม่ของแดนภารตะมองว่า การร่วมมือกับจีนมีด้านดีถึง 90% จึงไม่ควรปล่อยให้ด้านลบเพียง 10% ซึ่งหมายถึงความเห็นต่างของสองประเทศมาบ่อนทำลาย ขณะที่จีนก็ต้องการให้อินเดียเป็นตลาดสำคัญ แหล่งบุคลากรมีความสามารถ และเพื่อนบ้านที่เป็นมิตร
อย่างไรก็ดี อินเดียยังมีเรื่องที่ต้องกังวลเกี่ยวกับจีน นั่นคือการที่ปักกิ่งใกล้ชิดกับปากีสถาน ซึ่งเป็นปรปักษ์สำคัญของนิวเดลี
ขณะเดียวกัน จีนก็มีเรื่องค้างคาใจกรณีทะไลลามะ ผู้นำทางจิตวิญญาณของทิเบตที่ลี้ภัยอยู่ในอินเดียนับจากปี 1959
ทั้งนี้ ในวันพฤหัสฯ ที่กรุงนิวเดลี ผู้สนับสนุนการปลดปล่อยทิเบตราว 20 คน ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง ได้ชุมนุมประท้วงอยู่ห่างจากอาคารที่โมดีและสีหารือกันไม่กี่เมตร ขณะที่ทะไลลามะ กล่าวจากเมืองมุมไบว่า สีควรใช้โอกาสการเยือนครั้งนี้เรียนรู้ประสบการณ์การปกครองระบอบประชาธิปไตยของอินเดีย