เอเจนซีส์ - หลังจากเกิดเหตุนักท่องเที่ยวชาวอังกฤษ ฮันนาห์ วิธเธอริดจ์(Hannah Witheridge) ชาวอังกฤษ วัย 23 ปี และเดวิด มิลเลอร์(David Miller) ชาวอังกฤษ วัย 24 ปี ต้องจบชีวิตบนหาดเกาะเต่า จ.สุราษฎร์ฯ วันจันทร์(15) ล่าสุดสื่ออังกฤษรายงานการให้สัมภาษณ์นายกรัฐมนตรีไทย พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่มีข้อความเชิงหมิ่นสตรียุโรปว่า มีแต่นักท่องเที่ยวชาติตะวันตกที่จะปลอดภัยในชุดว่ายน้ำแบบบิกินีก็ต่อเมื่อเธอเหล่านั้นมีรูปลักษณ์ไม่ชวนมอง เหมือนเป็นนัยส่อว่า เป็นความผิดของเหยื่อผู้เสียชีวิตที่แต่งกายในชุดล่อแหลม สร้างความงุนงงให้กับฝั่งอังกฤษเป็นอย่างยิ่งที่นับว่าเป็นครั้งแรกที่มีโยนความผิดให้ผู้เสียชีวิต
สื่ออังกฤษรายงานเมื่อวานนี้(17)ว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีไทยให้สัมภาษณ์เชิงลบถึงคดีฆาตกรรม 2 นักท่องเที่ยวอังกฤษ ฮันนาห์ วิธเธอริดจ์(Hannah Witheridge) ชาวอังกฤษ วัย 23 ปี นักศึกษาเอกอรรถบำบัด(language Therapy)และเดวิด มิลเลอร์(David Miller) ชาวอังกฤษ วัย 24 ปี นักศึกษาวิศวกรรมศาสตร์ เพียงเพราะต้องการปกป้องอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย สร้างความมึนงงให้กับฝั่งอังกฤษเป็นอย่างมากจนกระทั่งแบรนดอน เลวิส (Brandon Lewis) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอังกฤษจากเกรท ยาร์เมาท์ Great Yarmouth)ต้องออกมาตอบโต้ว่า “ผมไม่เห็นสิ่งที่บ่งชี้ว่าควรจะโยนความผิดให้กับผู้เสียชีวิต และหวังว่าการสืบสวนจะนำไปสู่ผู้ลงมือสังหารและนำตัวขึ้นสู่ศาลยุติธรรมในท้ายที่สุด”
ทั้งนี้พลเอกประยุทธ์ให้ความเห็นผ่านสื่อว่า มีแต่นักท่องเที่ยวหญิงต่างชาติที่มีรูปลักษณ์ไม่ชวนมองเท่านั้นที่จะปลอดภัยในขณะที่สวมชุดบิกินี ซึ่งเป็นเสมือนการชี้ให้เห็นว่า เหตุฆาตกรรมโหดที่เกิดขึ้นนั้นส่วนหนึ่งเกิดจากตัวของนักท่องเที่ยวเอง พร้อมกับสั่งการให้เร่งคลี่คลายคดีนี้ให้เร็วที่สุดเพื่อกู้ภาพลักษณ์การท่องเที่ยวไทยกลับคืน
ในการให้สัมภาษณ์ทางโทรทัศน์ช่วงเย็น พลเอกประยุทธ์กล่าวว่า มักมีปัญหาเรื่องความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวต่างชาติเสมอ เพราะนักต่างชาติมักเข้าใจว่าไทยเป็นประเทศที่สวยงามและปลอดภัยจนทำให้เหล่านักท่องเที่ยวมักแต่งกายในชุดบิกินีและเดินไปทุกที่ พวกนั้นจะปลอดภัยในชุดบิกีนีหรือ..หากไม่เป็นพวกหน้าตาขี้ริ้วขี้เหร่ นายกรัฐมนตรีไทยที่มาจากการยึดอำนาจตั้งคำถามกับสื่อ
และจากการพิสูจน์เปรียบเทียบตัวอย่างดีเอ็นเอของผู้ต้องสงสัย 12 คน แต่ไม่พบดีเอ็นเอที่ตรงกัน โดยล่าสุดเมื่อวานนี้(17)สื่อไทยรายงานว่า แหล่งข่าวระดับสูงเปิดเผยผลการตรวจดีเอ็นเอ และวัตถุพยานในคดีฆาตกรรม 2 นักท่องเที่ยวชาวอังกฤษที่เกาะเต่า จ.สุราษฎร์ธานี ว่าจากการตรวจสอบตัวอสุจิที่พบในช่องคลอดและทวารหนักของหญิงสาวที่เสียชีวิต พบดีเอ็นเอลักษณะผสมซึ่งน่าจะเป็นของ 2 คน ขณะเดียวกัน จากการตรวจดีเอ็นเอที่พบในก้นบุหรี่ 3 มวนที่ตกอยู่ห่างจากจุดที่พบศพ 50 เมตร พบว่า มวนแรกยี่ห้อมาร์ลโบโร มีรอยลิปสติกสีแดงติดอยู่ มวนที่ 2 พบดีเอ็นเอผสมของคน 2 คน และมวนที่ 3 พบดีเอ็นเอของชายอีก 1 คน ซึ่งเป็นคนละคนกับที่พบในมวนที่ 2
ทั้งนี้ จากการตรวจเปรียบเทียบพบว่า ดีเอ็นเอในบุหรี่มวนที่ 2 ไม่ขัดแย้งกันกับดีเอ็นเอที่พบในอสุจิ โดยไม่ขัดแย้งกันทั้งคู่ แต่จะยืนยันได้ว่าเป็นดีเอ็นเอในตัวอสุจิกับมวนบุหรี่เป็นคนเดียวกันหรือไม่ ต้องนำดีเอ็นเอของบุคคลนั้นมาตรวจเปรียบเทียบ อย่างไรก็ตาม จากการตรวจเปรียบเทียบกับดีเอ็นเอของผู้ต้องสงสัยทั้งหมด ยังไม่ตรงกับผู้ต้องสงสัยรายใดเลย ส่วนเส้นขนในมือหญิงสาวนั้นก็ยังไม่สามารถชี้ชัดดีเอ็นเอได้ เนื่องจากอาจมีการทำสี กัดสีมาก่อน ส่วนผลตรวจเลือดที่ติดอยู่ที่จอบเป็นของฮันนาห์ อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าทั้งคู่เสียชีวิตในเวลาไล่เลี่ยกัน
นอกจากนี้ผลการชันสูตรศพพบว่า ไม่มีร่องรอยการล่วงละเมิดทางเพศในตัวเหยื่อสตรีผู้เสียชีวิต แต่นักท่องเที่ยวหญิงชาวอังกฤษวัย 23ปีมีร่องรอยการร่วมเพศก่อนถูกสังหาร และในมือขวาของเธอพบผมสีบลอนด์ติดอยู่
คริส แวร์(Chris Ware) ช่างทาสี และนักท่องเที่ยวชาวอังกฤษเพื่อนของมิลเลอร์ หนึ่งในเหยื่อสังหารโหดถูกตำรวจไทยสั่งห้ามเดินทางออกนอกประเทศในขณะนี้ และได้เคลียร์ข้อสงสัยถึงการเกี่ยวพันการเสียชีวิตของมิลเลอร์และวิธเธอริดจ์หลังจากตัวอย่างดีเอ็นเอของเขาไม่ตรงกับที่พบในเหยื่อผู้เสียชีวิต แต่กระนั้นเพื่อนของแวร์เผยว่า ยังคงเกรงว่าตำรวจไทยอาจจะยัดข้อหาให้เพื่อนของพวกเขา โดยทางตำรวจไทยพบแวร์และพี่ชาย เจมส์ แวร์ ในคืนวันอังคาร(16)ขณะกำลังพยายามเดินทางออกนอกประเทศและได้นำตัวคนทั้งคู่ไปสอบปากคำ
นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจยังเผยแพร่หลักฐานภาพวิธเธอริดจ์ที่กำลังทำกิจกรรมทางเพศในที่สาธารณะก่อนที่จะถูกสัหาร ซึ่งในคืนวันจันทร์(15)นายกรัฐมนตรีไทยชี้ว่า นักท่องเที่ยวชาวอังกฤษไม่ควรทำให้ตนเองตกอยู่ในอันตรายโดยการเดินทางออกจากที่พักในยามวิกาล
หลังจากที่คำให้สัมภาษณ์ผู้นำไทยแพร่ออกไป แอนดริว โรซินเดล ( Andrew Rosindell) สมาชิกคณะกรรมาธิการต่างประเทศอังกฤษให้สัมภาษณ์กับสื่ออังกฤษว่า "ภายใต้คำให้สัมภาษณ์เหล่านั้นดูเหมือนสิ่งที่น่ากังวลมากที่สุดคือ มีการชี้ว่าการเสียชีวิตเป็นผลมาจากการกระทำของเหยื่อเอง ซึ่งนี่ถือเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมจนกว่าจะมีหลักฐานอ้างอิง ซึ่งเข้าใจว่ามีความเป็นกังวลอย่างมากต่อผลที่จะเกิดกับการท่องเที่ยวของไทย แต่นี่เป็นเหตุฆาตกรรมสะเทือนขวัญ นักท่องเที่ยวชาวอังกฤษ 2 คนถูกสังหารอย่างโหดเหี้ยม และสิ่งแรกที่ไทยต้องทำคือการนำความยุติธรรมกลับคืนให้กับเหยื่อผู้บริสุทธิ์ และนี่ถือเป็นสิ่งแรกสุดที่ต้องทำ " และโรซินเดล สมาชิกรัฐสภาอังกฤษยังกล่าวต่อว่า "การให้ความเห็นเรื่องชุดบิกินีถือว่าไม่เหมาะสม เพราะนั่นเป็นสถานที่ตากอากาศดังนั้นผู้คนย่อมสวมชุดบิกินีเป็นเรื่องปกติ และอีกทั้งเป็นไม่ให้เกียร์ติผู้เสียชีวิต รวมไปถึงญาติของผู้สูญเสียที่เพิ่งเสียลูกสาวสุดที่รักไป และดูเหมือนว่าทุกครั้งที่ผู้นำไทยคนนี้เปิดปากพูด เขาจะทำลายอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยทุกครั้ง"
นอกจากนี้นาดิม ซาฮาวี (Nadhim Zahawi) สมาชิกคณะกรรมาธิการต่างประเทศอังกฤษอีกคนให้ความเห็นถึงการให้สัมภาษณ์ของพลเอกประยุทธ์ว่า "เป็นเรื่องที่น่าเสียดาย" และเสริมว่า "สตรีไม่ควรถูกบังคับให้ต้องเปลี่ยนแปลงการแต่งกายของตนเอง" ด้าน แคธี รัสเซล จากองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร Rape Crisis England and Wales เสริมว่า "การให้สัมภาษณ์ของพลเอกประยุทธ์นั้นไม่ให้ความสำคัญกับผู้ที่ได้รับผลกระทบ เช่นเหยื่อผู้เสียชีวิต ญาติมิตรและเพื่อนคนรู้รักของผู้ตาย และแน่นอนที่สุดเป็นการแสดงความเห็นที่ไม่เหมาะสมโดยสิ้นเชิง"
ด้านแวร์ วัย 24 ปี นักท่องเที่ยวชาวอังกฤษที่ได้ถูกสอบปากคำจากตำรวจไทย เขาเป็นเพื่อนตั้งแต่สมัยเด็กของมิลเลอร์ คนทั้งคู่เติบโตจากเจอร์ซี และมีที่พักอาศัยห่างกันเพียงแค่ 1 ไมล์ในเซนต์ เฮลิเออร์ (St Helier) ที่เงียบสงบ ทั้งแวร์และมิลเลอร์มักไปท่องเที่ยวด้วยกันบ่อยครั้ง รวมถึงในปี 2011ในทริปสกีที่ Val d’Isere ฝรั่งเศส และในทริปเที่ยวไทยที่คนทั้งคู่ตั้งเป้าจะเดินทางทั่วย่านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หลังจากที่มิลเลอร์และแวร์พบกับ เจมส์ แวร์ ช่างประปา และเป็นพี่ชายของแวร์ที่เมืองไทยในเดือนสิงหาคมล่าสุด และไม่กี่วันก่อนเกิดเหตุสลดคนทั้งหมดได้โพสต์ภาพทริปท่องเที่ยวยามค่ำคืนบนชายหาดเกาะเต่าบนเฟสบุ๊กส่วนตัว
ทั้งนี้สื่ออังกฤษได้ชี้แจงว่า ความรับผิดชอบในเหตุข่มขืนและฆาตกรรมล้วนแต่ตกอยู่ในมือของนักข่มขืนและฆาตกรเท่านั้น และจากการที่ชี้ว่าเหยื่อชักจูงภัยให้เกิดกับตนด้วยเครื่องแต่งกายที่สวม และการที่ตั้งสมมุติฐานว่า "มีเพียงสตรีที่มีรูปลักษณ์ชวนมองเท่านั้นที่จะประสบเหตุและภัยความรุนแรงทางเพศ" และนำไปสู่ความเชื่อที่ผิดว่า การข่มขืนนั้นเกี่ยวข้องกับความปราถนาทางเพศและการขาดความควบคุม แต่แท้จริงแล้วการข่มขืนเป็นความรุนแรงที่เกี่ยวข้องกับการใช้อำนาจและการควบคุมอย่างมิชอบของผู้ลงมือกระทำฝ่ายเดียวซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับ "การดึงดูดทางเพศแต่อย่างใด"
