เอเจนซีส์ – ผู้นำฝ่ายค้านปากีสถาน อิมรอน ข่าน ประกาศในวันอาทิตย์ (31 ส.ค.) ว่าจะทำการประท้วงไปจนถึงที่สุด ขณะที่ยังคงเกิดการปะทะนองเลือดระหว่างผู้ประท้วงกับตำรวจ ที่บริเวณหน้าบ้านพักนายกรัฐมนตรีนาวาซ ชารีฟ ในกรุงอิสลามาบัด ซึ่งเริ่มาตั้งแต่เมื่อคืนวันเสาร์ (30 ส.ค.) จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 3 ราย และบาดเจ็บอีกหลายร้อยคน ซึ่งรวมถึงเด็กและผู้หญิง แต่ ชารีฟ ยืนยันไม่ลงจากตำแหน่ง โดยที่มีความหวั่นวิตกกันมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าฝ่ายทหารอาจจะเข้าแทรกแซงก่อรัฐประหารยึดอำนาจ
ความรุนแรงคราวนี้เริ่มต้นขึ้นในคืนวันเสาร์ หลังจากกลุ่มผู้สนับสนุนจำนวนหลายพันคนของ อิมรอน ข่าน อดีตนักกีฬาคริกเก็ตชื่อดังซึ่งผันตัวเองมาเป็นนักการเมืองฝ่ายค้านคนสำคัญ และของ ตอห์รีร์ อัล กอดรี นักสอนศาสนา-นักปลุกระดมคารมร้อนแรง ได้พยายามบุกเข้าไปยังบ้านพักอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี โดยมีการใช้รถเครนหลายคันมาช่วยยกเครื่องกีดขวาง
จนถึงตอนบ่ายวันอาทิตย์ (31) การปะทะก็ยังคงดำเนินอยู่อย่างต่อเนื่อง ระหว่างแถวตำรวจในชุดปราบจลาจลกับผู้ประท้วงหลายร้อยคน โดยที่ผู้ประท้วงจำนวนมากใช้ไม้กระบองและหนังสติ๊กเป็นอาวุธ
บนถนนคอนสติตัวชั่น ซึ่งปกติแล้วเป็นถนนสายใหญ่อันงามสง่า เกลื่อนไปด้วยตู้คอนเทนเนอร์และรถยนต์จำนวนมากซึ่งถูกจุดไฟเผา รวมทั้งกระป๋องแก๊สน้ำตานับร้อยๆ ภายหลังการปะทะกันเป็นเวลานานกว่า 15 ชั่วโมง
กลุ่มฝ่ายค้านหลายๆ กลุ่มนำโดย ข่าน และ กอดรี ได้เคลื่อนขบวนเข้าสู่เมืองหลวงอิสลามาบัด โดยตั้งหลักชุมนุมกันที่บริเวณหน้ารัฐสภามาตั้งแต่วันที่ 15 สิงหาคม เพื่อเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีชารีฟ ลาออกจากตำแหน่ง จนกลายเป็นชนวนทำให้เกิดสถานการณ์วิกฤต ที่เพิ่มความเป็นไปได้ที่กองทัพจะเข้าแทรกแซง
ฝ่ายผู้ต่อต้านรัฐบาลเหล่านี้กล่าวหาว่า ชารีฟโกงการเลือกตั้งในปี 2013 ซึ่งผลปรากฏออกมาว่าพรรคของเขาชนะอย่างสวยงาม ทำให้ได้ขึ้นมาครองอำนาจ ถึงแม้พวกผู้สังเกตการณ์ทั้งที่เป็นชาวปากีสถานและชาวต่างชาติ ต่างเห็นพ้องกันว่าการเลือกตั้งคราวนี้ค่อนข้างน่าเชื่อถือและยุติธรรมกว่าครั้งที่ผ่านๆ มา
ข่าน กล่าวปราศรัยจากข้างบนตู้คอนเทนเนอร์ตู้หนึ่งในวันอาทิตย์ เรียกร้องให้ชาวปากีสถานทั้งมวลลุกฮือขึ้นมาต่อต้านรัฐบาล ซึ่งเขาบอกว่าเป็นรัฐบาลที่ไม่ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ และเป็นฆาตกรเข่นฆ่าประชาชน
ถึงแม้ก่อนหน้านั้น เปอร์เวซ ราชิด รัฐมนตรีสารสนเทศปากีสถาน แถลงว่า รัฐบาลยังเปิดกว้างในการเจรจาเพื่อคลี่คลายสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างสันติ พร้อมระบุว่า ผู้ชุมนุมเป็นฝ่ายก่อความรุนแรงด้วยการพยายามบุกเข้าสู่อาคารสถานที่สำคัญของรัฐบาล
อาซีฟ เคอร์มานี โฆษกของชารีฟขานรับว่า รัฐบาลต้องใช้กำลัง หลังจากผู้ประท้วงพยายามโจมตีศูนย์กลางอำนาจรัฐในกรุงอิสลามาบัด และเผยว่า ขณะเกิดเหตุ ชารีฟไม่ได้อยู่ในเมืองหลวง แต่ไปพักที่บ้านของครอบครัวของเขาในนครลาฮอร์
ชารีฟนั้นยืนยันไม่ลาออก และคาลิด คัตตัก ผู้บัญชาการตำรวจอิสลามาบัด แถลงว่า ผู้ประท้วงมีค้อน คัตเตอร์ตัดลวดหนาม ขวาน ไม้ หนังสติ๊กเป็นอาวุธ
ทางด้านสถาบันแพทยศาสตร์ปากีสถาน (พีไอเอ็มเอส) รายงานในวันอาทิตย์ว่า มีผู้เสียชีวิตรวม 3 คนในเหตุปะทะคราวนี้ โดย 2 คนจากอาการบาดเจ็บที่ได้รับขณะเกิดการปะทะกัน และอีกคนหัวใจวาย
ส่วนผู้บาดเจ็บมีอย่างน้อย 481 คน ในจำนวนนี้อย่างน้อยเป็นผู้หญิง 118 คน และเด็กอีก 10 คน โดยมีตำรวจได้รับบาดเจ็บอย่างน้อย 92 คน ทั้งหมดนี้ถูกส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลใหญ่สองแห่งของกรุงอิสลามาบัด
วิกฤตการเมืองปากีสถานคราวนี้ปรากฏมิติใหม่เพิ่มเข้ามา หลังจากรัฐบาลประกาศในวันพฤหัสบดี (28) ว่า พลเอกราชีล ชารีฟ ผู้บัญชาการทหารบก จะเข้ามาเป็นคนกลางไกล่เกลี่ย
พวกผู้สังเกตการณ์หลายรายเชื่อว่า หากชารีฟจะรอดพ้นวิกฤตการณ์คราวนี้ ก็อาจต้องแลกด้วยการโอนอ่อนผ่อนตามขนานใหญ่ต่อกองทัพ ซึ่งรวมถึงการยอมให้อดีตผู้บัญชาการทหารบก พล.อ. เปอร์เวซ มูชาร์ราฟ ที่กำลังถูกพิจารณาคดีข้อหาทรยศชาติ เดินทางออกนอกประเทศ
ทว่า โมชาร์ราฟ ไซดี นักวิเคราะห์การเมืองกลับมองว่า การประท้วงล่าสุดกำลังลุกลามจนเกินควบคุม และฝ่ายต่อต้านรัฐบาลอาจพยายามดึงกองทัพเข้ามามีส่วนร่วมโดยตรงเพื่อบีบให้ชารีฟลาออก
ไซดียังไม่เห็นด้วยกับคำกล่าวอ้างของกลุ่มผู้ประท้วงที่ว่า พวกเขาไม่ได้เป็นฝ่ายก่อความรุนแรง
เช่นเดียวกับอัสมาร์ เจฮันกีร์ นักวิจารณ์การเมืองและนักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชน ที่วิจารณ์ผู้นำการชุมนุมที่เอาแต่อ้างว่า การประท้วงเป็นไปอย่างสงบ นอกจากนี้ เจฮันกีร์ยังเรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินมาตรการที่จำเป็นเพื่อปกป้องเด็กและผู้หญิงในที่ชุมนุม
