รอยเตอร์ - โจโค วิโดโด ว่าที่ประธานาธิบดีอินโดนีเซียเผยในวันพฤหัสบดี (28 ส.ค.) จะเลื่อนจัดการกับค่าใช้จ่ายด้านอุดหนุนราคาน้ำมันอันมหาศาลออกไปเป็นหลังเข้าสาบานตนรับตำแหน่งในเดือนตุลาคม หลังจากผู้นำที่กำลังพ้นตำแหน่งบ่งชี้ว่าเงื่อนไงต่างๆ ในตอนนี้ยังไม่เหมาะสมที่จะขึ้นราคาในตอนนี้ ท่ามกลางความกังวลว่าประเด็นนี้อาจทำให้รัฐบาลของเขาเจอประท้วงทันทีตั้งแต่เริ่มงาน
นายวิโดโด หวังขึ้นราคาน้ำมันอย่างรวดเร็วเพื่อจัดการกับตัวเลขติดลบทางบัญชีในปัจจุบันที่สูงขึ้นเรื่อยๆ และกัดเซาะความเชื่อมั่นของนักลงทุนในชาติเศรษฐกิจหมายเลข 1 ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
มาตรการอุดหนุนราคาน้ำมันของรัฐบาลต้องใช้เงินสูงถึง 20,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี หรือเกือบร้อยละ 20 ของงบประมาณโดยรวมของประเทศ แต่การปรับขึ้นราคาน้ำมันเป็นประเด็นอ่อนไหวที่อาจกระตุ้นให้เกิดการประท้วงต่อต้านรัฐบาลของนายวิโดโด ทันทีหลังจากเขาเข้ารับตำแหน่ง
“ขอให้พิธีสาบานตนผ่านพ้นไปก่อน” นายวิโดโดบอกกับผู้สื่อข่าวในวันพฤหัสบดี (28) เมื่อถูกถามถึงแผนขึ้นราคาน้ำมัน “ถึงตอนนี้มันยังเป็นอำนาจของประธานาธิบดียุทโธโยโน”
นายวิโดโดและประธานาธิบดีซูซิโล บัมบัง ยุทโธโยโน ปิดประตูหารือกันเกี่ยวกับการถ่ายโอนอำนาจแก่ผู้นำคนใหม่นานกว่า 2 ชั่วโมง ที่เกาะบาหลี เมื่อวันพุธ (27) ขณะที่สำนักข่าวอันทาราอ้างคำสัมภาษณ์ของวิโดโด บอกว่า “ผมร้องขอยุทโธโยโนอย่างเจาะจงให้ปรับลดตัวเลขขาดดุลงบประมาณให้น้อยลง ด้วยการขึ้นราคาน้ำมัน แต่เขาว่าเงื่อนไขในตอนนี้ยังไม่เหมาะสมต่อการขึ้นราคาน้ำมัน”
คณะที่ปรึกษาของวิโดโดบอกว่า การขึ้นราคาน้ำมันใดๆ จะส่งผลกระทบอย่างหนักหน่วงต่อชาวอินโดนีเซียกว่าร้อยละ 40 ที่อยู่ใต้หรือใกล้ๆ เส้นแบ่งความยากจน ดังนั้นมันจึงจะต้องมาพร้อมกับมาตรการชดเชยสำหรับคนจน ขณะที่ตัวนายวิโดโดซึ่งชนะเลือกตั้งในเดือนกรกฎาคมบอกว่า เขาต้องการนำเงินในการอุดหนุนราคาน้ำมันไปใช้จ่ายในด้านอื่นๆ แทน ไม่ว่าจะเป็นการศึกษา สาธารณสุข และเกษตรกรรม