เอเจนซีส์ - เจ้าหน้าที่อเมริกันเผยสหรัฐฯ เริ่มบินสอดแนมเหนือซีเรียแล้ว หลังได้รับความเห็นชอบจากประธานาธิบดีบารัค โอบามา โดยพวกนักวิเคราะห์มองว่านี่อาจเป็นการปูทางเพื่อการโจมตีทางอากาศต่อนักรบญิฮัดกลุ่ม “ไอเอส” ในซีเรียด้วย นอกเหนือจากในอิรัก
แม้ทำเนียบขาวระบุว่า ประธานาธิบดีโอบามา ยังไม่อนุมัติปฏิบัติการทางทหารภายในซีเรีย แต่ก็เห็นกันว่า เป็นสิ่งจำเป็นที่สหรัฐฯจะต้องข้อมูลข่าวกรองเกี่ยวกับกลุ่มรัฐอิสลาม (ไอเอส) ที่เชื่อถือได้ ก่อนที่โอบามาจะตัดสินใจดำเนินการในขั้นตอนต่อไป ทั้งนี้มีรายงานว่า ขณะนี้ เจ้าหน้าที่เพนตากอนกำลังร่างทางเลือกต่างๆ เตรียมเสนอต่อโอบามา ซึ่งรวมถึงการเข้าถล่มโจมตีทางอากาศ
ในวันจันทร์ที่ผ่านมา (24 ส.ค.) เจ้าหน้าที่อเมริกันสองคนเปิดเผยว่า โอบามาอนุมัติภารกิจการบินสอดแนมในซีเรียแล้ว ขณะที่เจ้าหน้าที่อีกคนเปิดเผยเมื่อวันอังคาร (25) ว่า เครื่องบินอเมริกันได้เริ่มต้นสอดแนมเหนือซีเรีย
ทั้งนี้ สหรัฐฯ เริ่มโจมตีทางอากาศต่อนักรบญิฮัดกลุ่มไอเอสส่วนที่เข้าไปปฏิบัติการอยู่ในอิรักตั้งแต่เมื่อต้นเดือนสิงหาคมนี้ โดยโอบามาให้เหตุผลว่า เพื่อปกป้องเจ้าหน้าที่อเมริกัน รวมถึงรับมือวิกฤตด้านสิทธิมนุษยชนในอิรัก ขณะที่พลเอกมาร์ติน เดมป์ซีย์ ประธานคณะเสนาธิการร่วมกองทัพสหรัฐฯ กล่าวเมื่อไม่กี่วันมานี้ว่า ทางเดียวในการกำจัดนักรบไอเอสได้สำเร็จคือ การตามเข้าไปถอนรากถอนโคนในซีเรียด้วย ทั้งนี้เนื่องจากไอเอสมีที่มั่นอยู่ทั้งในอิรักและในซีเรีย
โอบามานั้นคัดค้านการที่สหรัฐฯจะเข้าไปปฏิบัติการทางทหารในซีเรียมาโดยตลอด เนื่องจากกลัวว่า อเมริกาจะถูกดึงเข้าสู่สงครามกลางเมืองที่อยู่นอกเหนือการควบคุม ตลอดจนเกรงว่า การโจมตีกลุ่มไอเอส ซึ่งถึงอย่างไรก็เป็นกลุ่มกบฎที่สำคัญมากกลุ่มหนึ่งในซีเรีย จะกลายเป็นการสนับสนุนระบอบปกครองของประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาด ซึ่งสหรัฐฯและชาติตะวันตกอื่นๆ ต่างปรารถนาให้ถูกโค่นล้มไปเสีย
กระนั้น ดูเหมือนการคิดคำนวณของประมุขทำเนียบขาวได้เปลี่ยนไป นับแต่ที่ไอเอสประกาศเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า ได้สังหารนักข่าวอเมริกัน เจมส์ โฟลีย์ ที่ถูกจับเป็นเชลยในซีเรียอย่างโหดเหี้ยมด้วยการตัดคอ เพื่อแก้แค้นที่อเมริกาโจมตีทางอากาศที่มั่นของตนในอิรัก พร้อมกับขู่สังหารพลเมืองอเมริกันคนอื่นที่ถูกกักขังอยู่ หากวอชิงตันยังไม่ยุติปฏิบัติการดังกล่าว
เกี่ยวกับเรื่องนี้ จอช เออร์เนสต์ โฆษกทำเนียบขาวแถลงเมื่อวันจันทร์ว่า โอบามายินดีอนุมัติปฏิบัติการทางทหารเมื่อจำเป็นต้องปกป้องพลเมืองอเมริกัน กระนั้น ทำเนียบขาวไม่ได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการตัดสินใจของผู้นำสหรัฐฯ ในการอนุมัติการบินสอดแนมเหนือซีเรีย
อเมริกานั้นได้เริ่มบินสอดแนมความเคลื่อนไหวของกลุ่มไอเอสในอิรักตั้งแต่ต้นปีนี้ ขณะที่โอบามากำลังอยู่ระหว่างชั่งใจการปฏิบัติการโจมตีทางอากาศในประเทศดังกล่าว ส่วนในซีเรียนั้น คณะรัฐบาลสหรัฐฯ เริ่มภารกิจสอดแนมมาระยะหนึ่งแล้ว โดยกระทำตั้งแต่ก่อนการปฏิบัติการช่วยเหลือโฟลีย์และเชลยอเมริกันคนอื่นๆ เมื่อต้นฤดูร้อนปีนี้
ทั้งนี้ กองทหารหน่วยรบพิเศษของอเมริกาถูกส่งเข้าไปในซีเรียเพื่อช่วยเหลือชาวอเมริกันที่ถูกนักรบญิฮัดจับตัวไป แต่เมื่อบุกเข้าไปในพื้นที่เป้าหมายกลับไม่พบผู้ที่ต้องการช่วย อย่างไรก็ดี เจ้าหน้าที่ยืนยันว่า ยังคงมีการเก็บข้อมูลเพื่อตามหาคนเหล่านั้นต่อไป
ในอีกด้านหนึ่ง เจ้าหน้าที่อเมริกันหลายคนระบุว่า ในการบินสอดแนมเหนือซีเรียนั้น อเมริกาไม่มีแผนจะขออนุญาตรัฐบาลซีเรียก่อน แม้วาลิด มูอัลเลม รัฐมนตรีต่างประเทศซีเรีย ประกาศเมื่อวันจันทร์ว่า การปฏิบัติการทางอากาศของอเมริกาโดยปราศจากการยินยอมจากดามัสกัส จะถือเป็นการบุกรุก
ส่วนที่ออสเตรเลียเมื่อวันอังคาร(26) นายกรัฐมนตรีโทนี แอ็บบอตต์ ได้เปิดเผยมาตรการต่อต้านการก่อการร้ายเพื่อป้องกันไม่ให้หนุ่มสาวออสซี่ถูกปลุกปั่นเข้าร่วมรบกับนักรบญิฮัด เป็นต้นว่า ในซีเรียและอิรัก
แอ็บบอตต์ระบุว่า ขณะนี้ มีชาวออสเตรเลียอย่างน้อย 60 คนร่วมสู้รบในสองประเทศดังกล่าว โดยมี “ผู้สนับสนุน” อยู่ในออสเตรเลียประมาณ 100 คน ซึ่งเท่ากับว่า แดนจิงโจ้กำลังเผชิญความเสี่ยงจากผู้ก่อการร้ายที่เป็นพลเมืองของตนเองมากขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
แผนต่อต้านการก่อการร้ายครั้งนี้ซึ่งมีงบประมาณ 585 ล้านดอลลาร์ ครอบคลุมถึงโครงการเพิ่มกิจกรรมชุมชนโดยเน้นการป้องกันไม่ให้หนุ่มสาวไปข้องเกี่ยวกับกลุ่มหัวรุนแรง
ปัญหานี้กลายเป็นประเด็นร้อนในออสเตรเลียหลังจากเมื่อต้นเดือนมีการเผยแพร่ภาพเด็กชาย ซึ่งเชื่อว่า เป็นลูกของกาลิด ชาร์รูฟ นักรบญิฮัดสัญชาติออสซี่ กำลังถือศีรษะทหารซีเรีย