รอยเตอร์ - สหรัฐฯ ออกมาเรียกร้องให้มอสโกถอนขบวนรถบรรเทาทุกข์ ที่ส่งเข้าไปในภาคตะวันออกของยูเครนโดยไม่ได้รับอนุญาตเมื่อวานนี้ (23 ส.ค.) พร้อมกล่าวหาว่ารัสเซียละเมิดอธิปไตยของประเทศเพื่อนบ้านแห่งนี้ที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียตอย่างชัดแจ้ง ทั้งยังขู่ว่าจะเพิ่มมาตรการคว่ำบาตรด้วย
มอสโก ซึ่งมีทหารหลายพันคนประจำการใกล้พรมแดนฝั่งรัสเซีย ออกคำเตือนถึงความพยายามใดๆ ที่จะ “ขัดขวาง” ขบวนรถดังกล่าวซึ่งพวกเขาระบุว่าเป็นภารกิจเพื่อมนุษยธรรมอย่างแท้จริง แต่ไม่ได้ระบุว่าจะมีการดำเนินการอย่างไรถ้ากองทัพยูเคนเข้าแทรกแซง
ผู้บัญชาการทหารสูงสุดขององค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ (นาโต) กล่าวว่า การเคลื่อนไหวของรถบรรทุกเหล่านี้ดูเหมือนว่าจะซ้อนเร้นความพยายามเสริมกำลังให้กับกองกำลังแบ่งแยกดินแดน
พันธมิตรความมั่นคงฝ่ายตะวันตกกลุ่มนี้ระบุว่า กองทัพแดนหมีขาวยิงปืนใหญ่ข้ามพรมแดนดังกล่าวและยิงอยู่ภายในฝั่งยูเครน เพื่อเป็นการสนับสนุนทางทหารเพิ่มเติมที่สำคัญให้กับกลุ่มกบฏฝักใฝ่มอสโกนับตั้งแต่ช่วงกลางเดือนสิงหาคมเป็นต้นมา ซึ่งเท่ากับเป็นการกล่าวหาว่ารัสเซียได้ทำสงครามแล้ว
เบ็น โรด รองที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติประจำทำเนียบขาว ระบุว่า หากขบวนรถดังกล่าวยังไม่ล่าถอยออกไป รัสเซียจะต้องเผชิญกับ “ความเสียหายเพิ่มเติม”
“เรายังพบเห็นการใช้ปืนใหญ่ของรัสเซียในยูเครนเมื่อหลายวันก่อนอยู่” เขากล่าว เมื่อถูกถามถึงถ้อยแถลงของนาโต
ทั้งนี้ มอสโกปฏิเสธเรื่อยมาว่าไม่ได้ให้การสนับสนุนทางทหารแก่กลุ่มกบฏ ถึงกระนั้นสหรัฐฯและสหภาพยุโรปก็ยังใช้มาตรการคว่ำบาตรหลายรายการและเครมลินก็ได้แก้เผ็ดคืน ทำให้ความมึนตึงบางส่วนในช่วงสงครามเย็นกลับมาคุกรุ่นอีกครั้ง โดยนาโตได้จัดกองทหารพิเศษเข้าประจำการในชาติสมาชิกต่างๆ ที่มีชายแดนติดกับรัสเซีย รวมถึงบรรดารัฐบอลติกที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียตและโปแลนด์ที่เคยเป็นประเทศคอมมิวนิสต์
เปโตร โปโรเชนโก ประธานาธิบดียูเครน อธิบายว่า การเข้ามาของรถบรรทุกเหล่านั้นโดยที่เคียฟไม่ได้อนุญาตถือเป็น “การละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศอย่างโจ่งแจ้ง” แต่หัวหน้าอาวุโสฝ่ายความมั่นคงกล่าวว่า กองทัพยูเครนจะปล่อยให้พวกเขาผ่านไปเพื่อหลีกเลี่ยง “การยั่วยุ”
เคียฟเรียกร้องให้เหล่าพันธมิตรนานาชาติร่วมกัน “ประณามอย่างเด็ดขาดต่อการกระทำเชิงรุกรานและผิดกฎหมาย” ของรัสเซีย
ด้านนาโตก็ระบุว่า รัสเซียเสี่ยงต่อการถูกโดดเดี่ยวจากนานาชาติมากยิ่งขึ้น พวกเขาไม่ยอมรับการแทรกแซงทางทหารในนามของยูเครน ซึ่งไม่ได้เป็นชาติสมาชิก รวมถึงยุโรปที่ต้องฝืนใจยกระดับการคว่ำบาตร เพราะว่าความสัมพันธ์ทางการค้าและแก๊สของรัสเซียที่พวกเขาขาดไม่ได้
ขณะที่ทางรัสเซียชี้ว่า พวกเขาไม่ได้กำลังฝ่าฝืนกฎหมายระหว่างประเทศ และระบุว่า ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของแดนหมีขาวบอกกับอังเกลา แมร์เคิล นายกรัฐมนตรีของเยอรมนีทางโทรศัพท์แล้วว่า มอสโกไม่อาจรอไฟเขียวจากเคียฟเพื่อเข้าช่วยเหลือประชาชนที่กำลังทนทุกข์ได้อีกแล้ว
แมร์เคิล ที่ได้พูดคุยกับ โปโรเชนโก แล้ว ได้แสดงความกังวลอย่างยิ่งของเธอ และชมเชยชาวยูเครนสำหรับการตอบสนอง “อย่างรอบคอบ” ทั้งเรียกร้องให้มีการหยุดยิงโดยเร็วและช่วยกันค้ำจุนแนวพรมแดนนี้
ด้านทำเนียบขาวกล่าวในถ้อยแถลงว่า ประธานาธิบดีบารัค โอบามา แห่งสหรัฐฯ ได้พูดคุยกับ แมร์เคิล แล้วและผู้นำทั้งสองเห็นพ้องกันว่า การส่งขบวนรถเข้าสู่ยูเครนเป็น “การยั่วยุ” จากฝ่ายรัสเซีย และเรียกร้องให้มอสโกถอนขบวนรถออกไป
พวกเขายังได้แสดงความกังวลว่า กองทหารจำนวนมากของรัสเซียบนพรมแดนยูเครน, กองทัพรัสเซียที่อยู่ในยูเครนขณะนี้ และการยิงปืนใหญ่ของรัสเซียในอาณาเขตของชาวยูเครน “แสดงให้เห็นถึงความอันตรายที่กำลังเพิ่มขึ้น” ทำเนียบขาวระบุ