เอเจนซีส์ - การเปิดเผยครั้งแรกจากเดวิด ฟาร์เนล (David Farnell) และภรรยาเวนดี (Wendy) ได้เปิดใจให้สัมภาษณ์เป็นครั้งแรกผ่านรายการ 60 Minutes ทางช่อง 9ของออสเตรเลียในคืนวันอาทิตย์(10)ว่า ไม่มีพ่อแม่คนไหนอยากได้บุตรที่พิการ เพราะหากรู้ว่าตัวอ่อนมีปัญหาโรคดาว์นซินโดรมจะขอให้ทำการกำจัดทิ้งตั้งแต่ต้น และยืนยันว่าไม่เคยตกลงให้ภัทรมน จันทร์บัว ที่รับเป็นผู้อุ้มบุญให้ดูแลแกรมมี ฝาแฝดชายอีกคน ด้านคุณแม่อุ้มบุญไทยออกมาแฉเพิ่มเติมว่า ไข่ IVF ที่ฝังในครรภ์ของเธอไม่ใช่มาจากเวนดี ฟาร์เนล
สื่ออังกฤษรายงานเมื่อวานนี้(10)ว่า เดวิด ฟาร์เนล (David Farnell) และภรรยาเวนดี (Wendy) ได้เปิดใจให้สัมภาษณ์เป็นครั้งแรกต่อสาธารณชนผ่านรายการ 60 Minutes ทางช่อง 9ของออสเตรเลียในคืนวันอาทิตย์(10)เพื่อต้องการให้สังคมชาวโลกรับรู้เรื่องจากฝั่งตนเองเช่นกัน
ฟาร์เนลยอมรับว่า หากทราบล่วงหน้าแต่ต้นว่าตัวอ่อนที่ฝังในครรภ์มีสภาพไม่สมบูรณ์และจะมีปัญหาเป็นโรคดาว์นซินโดรมในอนาคต จะขอให้ทำการกำจัดตัวอ่อนนั้นเสียเพราะเหตุว่าไม่มีพ่อแม่คนไหนอยากมีลูกที่พิการ และยังเปิดเผยว่าในบางครั้ง เวนดี ภรรยาจะให้ “พิพาห์” บุตรสาวฝาแฝดของแกรมมี่แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าสีฟ้าเพื่อรำลึกถึงแกรมมี่ และยืนยันว่าคดีละเมิดเด็กของตนเองก่อนหน้านี้ ได้หยุดความประพฤติช่นนั้นแล้ว 100 %
“หากมีวิธีปลอดภัย 100 % ในการกำจัดตัวอ่อนที่มีแนวโน้มว่าที่จะป่วยเป็นโรคดาว์นซินโดรม ผมคงขอให้ทำไปแล้ว” ฟาร์เนลกล่าว และเล่าต่อทั้งน้ำตาคลอว่า “เราทั้งคู่รู้ช้าไปว่าฝาแฝดชายป่วยเป็นโรคดาว์นซินโดรมเมื่ออายุครรภ์แก่มากแล้ว เพราะถึงแม้พวกเขาส่งรายงานให้ทางเราทราบ แต่ไม่มีการตรวจครรภ์ในเรื่องนี้แต่เนิ่นๆ”
และฟาร์เนลยังกล่าวยอมรับด้วยว่า “ไม่คิดว่าจะมีพ่อแม่คนไหนต้องการมีลูกชายพิการ พ่อแม่ทุกคนต้องการลูกที่แข็งแรงด้วยกันทั้งนั้น” และเมื่อถูกถามว่าจริงหรือไม่ที่ทั้งคู่ได้ทอดทิ้งฝาแฝดชาย “แกรมมี่” ฟาร์เนลตอบปฎิเสธเสียงแข็ง “ ไม่ เราทั้งคู่ไม่เคยทอดทิ้งเขา เราไม่เคยขอให้แม่อุ้มบุญคนไทยทำการยกเลิกตั้งครรภ์ แต่เราได้เพียงแต่หวัง” ฟาร์เนลกล่าว
และในรายการ 60 Minutes ฟาร์เนลยืนยันการรายงานสื่ออื่นๆที่ว่า สองสามีภรรยาต้องการให้ ภัทรมน จันทร์บัว หญิงไทยวัย 21 ปี ทำการยกเลิกการตั้งครรภ์สำหรับฝาแฝดชายแกรมมี่ และกล่าวว่าทั้งตัวเองและภรรยาต้องการรับบุตรชายกลับไปอยู่ด้วยที่ออสเตรเลีย “เป็นเรื่องที่เครียดมาก เราทั้งคู่คิดถึงลูกชายมาก มีบางวันที่ผมกลับจากงานมาที่บ้าน และเห็นเวนดี ภรรยา แต่งตัวลูกสาวของเรา “พิพาห์” ด้วยชุดสีฟ้าเพราะภรรยาของผมต้องการรำลึกถึงแกรมมี่” ฟาร์เนลกล่าว
และเดวิด ฟาร์เนล ยังปฎิเสธถึงการเลือกปฎิบัติในการเอ็นดูฝาแฝดหญิงมากกว่า โดยกล่าวโต้ว่า ไม่เป็นความจริงที่ไม่เคยซื้อนม หรือผ้าอ้อมให้แกรมมี่ ในความจริงแล้วซื้อให้กับฝาแฝดทั้งคู่
นอกจากนี้ฟาร์เนลยังตอบข้อสงสัยในคดีละเมิดเด็กที่มีอายุต่ำสุดแค่ 5 ปี โดยพ่ออสซีตอบยืนยันว่า มันเป็นเรื่องในอดีตและเขาได้เปลี่ยนนิสัยโดยสิ้นเชิงแล้วจากกระบวนการให้คำปรึกษาด้านจิตวิทยาที่ได้รับจากภายในเรือนจำ และไม่มีความสนใจในสิ่งนี้อีกต่อไป “นิสัยประเภทนี้หยุดหมด 100 % และแน่นอนที่สุด ผมไม่มีความปราถนาในด้านนี้อีกต่อไป” ฟาร์เนลกล่าว และเสริมด้วยว่า “เมื่อดูลูกของผมเอง และคิดไปว่า หากมีใครมาย่ำยีพวกแก ผมคงต้องใจสลายแน่นอน” นอกเหนือไปจากนี้ เวนดี ภรรยาที่อยู่เคียงข้างฟาร์เนลให้ความเชื่อมั่นต่อหน้าสื่อว่า เธอคิดว่าพิพาห์ บุตรสาวฝาแฝดจะต้องปลอดภัยเมื่ออยู่กับฟาร์เนล พ่อของเธอเอง
แต่อย่างไรก็ตาม ทั้งสามีและภรรยาชาวเวสต์ออสเตรเลียต่างยอมรับว่า ไม่เคยติดต่อกับครอบครัวของภัทรมนเพื่อติดต่อถามข่าวบุตรชายฝาแฝดหลังจากที่รับฝาแฝดหญิงกลับออสเตรเลียแล้ว หรือติดต่อกับเจ้าหน้าที่เพื่อขอความช่วยเหลือ
ก่อนหน้านี้เจ้าหน้าที่หน่วยงานคุ้มครองเด็กของรัฐออสเตรเลียตะวันตกได้ออกตามหา เดวิด ฟาร์เนล และภรรยา เพื่อต้องการตรวจสอบว่าปลอดภัยหรือไม่ที่จะปล่อยให้คนทั้งคู่เลี้ยงดูฝาแฝดหญิงในฐานะบิดามารดาจากการที่เดวิด ฟาร์เนล วัย 56ปี เป็นอดีตนักโทษคดีละเมิดเด็ก
และในวันอังคาร(5)ที่ผ่านมา คนทั้งคู่ยังไม่ยอมเปิดประตูบ้านเพื่อเผชิญหน้ากับเจ้าหน้าที่ RSPCA ที่พาสุนัขประจำบ้านไปเพราะเชื่อว่า ครอบครัวนี้ได้เดินทางออกจากบ้านและปล่อยให้สุนัขอดโซ แต่คนทั้งคู่กลับอ้างกับสื่อว่าได้ให้อาหารสุนัขทุกวันก่อนที่จะถูกเจ้าหน้าที่นำตัวไปในเช้าวันพุธ(6)
ทั้งนี้ตั้งแต่เกิดข่าวฉาวเรื่องแกรมมี่ ครอบครัวฟาร์เนลเก็บตัวเงียบอยู่แต่ในบ้านเพื่อหนีนักข่าว และไม่ยอมทิ้งร่องรอยให้โลกภายนอกรับรู้ว่าว่าพวกเขายังคงอาศัยอยู่ภายในบ้าน โดยที่ต่างไม่ยอมเปิดคอมพิวเตอร์ ไฟฟ้า หรือแม้กระทั่งอาบน้ำ และสื่ออังกฤษรายงานเพิ่มเติมว่า ในช่วงเที่ยงคืนวันพุธ(6)สองสามีภรรยาฟาร์เนลได้เดินทางออกจากบ้านไป และได้เดินทางไปให้สัมภาษณ์รายการ 60 Minutes ในวันถัดไป โดยจุดประสงค์ของครอบครัวฟาร์เนลต้องการประกาศให้สาธารณชนเข้าใจว่า ยังคงให้ความร่วมมือกับแผนกปกป้องเด็กของรัฐออสเตรเลียตะวันตก และจะยังคงติดต่อตลอดไปเพื่อให้แน่ใจว่าทั้งเดวิด และเวนดี ฟาร์เนล จะสามารถเป็นบิดามารดาเด็กได้
ในขณะเดียวกันที่ไทย ภัทรมน จันทร์บัว วัย 21 ปีที่รับเป็นแม่อุ้มบุญนั้นได้ออกมาเปิดเผยข้อมูลเพิ่มเติมล่าสุดกับสำนักข่าวแฟร์แฟกซ์ว่า เวนดี ฟาร์เนล ไม่ใช่แม่ตามสายเลือดของแกรมมี่ ฝาแฝดชาย เพราะเธอไม่ได้บริจาคไข่ IVF เพราะไข่ที่ฝังในครรภ์ของเธอนั้นได้มาจากหญิงไทยนิรนามนางหนึ่งผ่านศูนย์อุ้มบุญ แต่สปิร์มนั้นเป็นของเดวิด ฟาร์เนล โดยภัทรมนกล่าวว่า “ดิฉันไม่คิดว่าคนทั้งคู่จะมีความผูกพันหรือเกี่ยวข้องกับฝาแฝดชายหญิง และยิ่งไม่แน่ใจว่าเขาทั้งคู่รักฝาแฝดหญิงที่รับไปด้วย”
มีรายงานว่าภัทรมนโกรธหลังจากรับรู้ถึงการให้สัมภาษณ์ของเดวิด ฟาร์เนล และเวยดี ฟาร์เนล ผ่านรายการ 60 Minutes โดยเธอยังยืนยันว่าสามีและภรรยาชาวออสเตรเลียทอดทิ้งแกรมมี่จริง และล่าสุดภัทรมนได้เดินทางไปกรุงเทพฯพื่อขอคำแนะนำในการรับมือสื่อทางลบ ซึ่งล่าสุดดูเหมือนทิศทางข่าวจะมีผลลบกับเธอ จากที่มีรายงานว่าภัทรมนนั้นอาจเป็นผู้อยู่ในธุรกิจจัดหาหญิงอุ้มบุญและหญิงบริจาคไข่จากหน้าเฟสบุ๊กส่วนตัวของเธอที่แสดงให้เห็นว่าเธออาจเป็นตัวกลางในธุรกิจนี้ ซึ่งในโปรไฟล์ส่วนตัวมีรูปภัทรมนกำลังอุ้มแกรมมี่ โดยสื่อไทยรายงานในสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า ในเฟสบุ๊กที่ใช้ชื่อว่า “ไอ้นู๋ก้อย เด็กชลครับผม” มีข้อความที่ถูกโพสต์ไว้ เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2557 ระบุว่า “งานบริจาคไข่พบลูกค้าพรุ่งนี้ ส่วนสูง 160+ น้ำหนัก 60 เลือดกรุ๊ปเอค่ะ เรทอยู่ที่ 20,000-50,000 บาท จ่ายเงินสดค่ะ” และเมื่อมีผู้ถามว่า “เลือดกรุ๊ปโอ” ทางเจ้าของเฟซบุ๊กก็ตอบว่า “ทิ้งประวัติไว้ได้ค่ะ ถ้ามีเคสจะติดต่อปายค่ะ” หรือข้อความเมื่อวันที่ 25 เมษายน 2557 ระบุว่า “ทางเราอยากได้คุณแม่อุ้มบุญ จำนวนมากค่ะ ทั้งกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด สนใจคุยกันได้ค่ะ” และเมื่อมีผู้สอบถามรายละเอียดเข้ามา เจ้าของเฟซบุ๊กได้ขอไลน์จากผู้ติดต่อเพื่อให้รายละเอียดเพิ่มเติม
นอกจากนี้ ยังพบการโพสต์ข้อความในลักษณะเชิญชวนผู้ที่สนใจงานแม่อุ้มบุญ มากรอกประวัติทิ้งไว้ ระบุว่า “สำหรับผู้สนใจงานแม่อุ้มบุญให้กรอกข้อความ ดังนี้ ชื่อ-ชื่อเล่น เลือดกรุ๊ปใด อายุ วันเกิด สัญชาติ ส่วนสูง น้ำหนัก สีตา สีผม รูปใบหน้า การศึกษา งานอดิเรก พร้อมให้ส่งรูป 7-8 ใบ หน้าสด ครึ่งตัว เต็มตัว สวย ๆ” ปรากฏว่า มีผู้สนใจและเข้ามาสอบถามรายละเอียด โดยบางรายระบุว่า “อายุ 17 ปี” ด้านเจ้าของเฟซบุ๊กก็ได้ขอให้ลองส่งประวัติเข้ามา เพื่อจะได้ส่งไปให้ลูกค้าดู
ด้านตัวแทนมูลนิธิ Hands Across The Water ประจำประเทศไทยได้ย้ายแกรมมี่มารักษาตัวต่อที่โรงพยาบาลสมิติเวชศรีราชา ชลบุรี และทางมูลนิธิที่เป็นผู้จัดการด้านการระดมทุนให้แกรมมี่จะดูแลหนูน้อยจนกระทั่งสำเร็จการศึกษา
และผลจากคดีแกรมมี่ทำให้รัฐบาลไทยประกาศห้ามการอุ้มบุญเชิงพาณิชย์เป็นผลให้ จูลี บิชอป (Julie Bishop) รัฐมนตรีต่างประเทศออสเตรเลีย ต้องออกมาขอร้อง ซึ่งเธอได้พบกับทางตัวแทนไทยในที่ประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศASEAN ในวันเสาร์(9) ที่กรุงเนปิดอว์ พม่า เพื่อให้ยืดระยะเวลาการบังคับใช้ออกไปให้พลเมืองออสเตรเลียที่ได้ใช้บริการอุ้มบุญในไทยสามารถรับบุตรของพวกเขากลับไปได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายจากเหตุผลด้านมนุษยธรรม แต่บิชอบยังย้ำว่าออสเตรเลียไม่มีนโยบายสนับสนุนนการอุ้มบุญเพื่อการค้า และไทยมีอำนาจสมบูรณ์ในการบังคับกฎหมาย ซึ่งพบว่ามีครอบครัวชาวออสซีที่ได้รับผลกระทบตกค้างอย่างน้อย 50 ครอบครัว
นอกจากนี้สื่ออังกฤษยังรายงานอีกว่า เจ้าหน้าที่ไทยได้ตำหนิออสเตรเลียที่ได้กระพือข่าวฉาวการอุ้มบุญเพื่อการค้าในไทย แต่ยอมรับว่าทางรัฐบาลไทยไม่สามารถรับรู้ถึงมูลค่าตลาดที่แท้จริงในธุรกิจการอุ้มบุญในไทยเพราะสาเหตุที่ว่า มีความต้องการใช้แม่ไทยอุ้มบุญเด็กต่างชาติเป็นจำนวนมาก ดังนั้นจึงเป็นการยากที่ทางรัฐบาลไทยจะติดตามเด็กทารกที่ถูกพาตัวออกนอกราชอาณาจักรด้วยหนังสือเดินทางต่างชาติที่ทุกสิ่งถูกจัดการโดยสำนักงานอุ้มบุญที่เป็นตัวกลางติดต่อและจัดหา
เพราะหนังสือเดินทางทั้งหมดจะถูกเตรียมโดยสำนักงานคลินิกอุ้มบุญและให้หน่วยงานตรวจคนเข้าเมืองอสเตรเลียดำเนินการต่อ และสิ่งนี้ได้สร้างปัญหาให้กับรัฐบาลไทยที่ถูกกล่าวหาว่า “รู้เห็นเป็นใจในธุรกิจสีเทานี้” และยังเป็นการยากสำหรับเจ้าหน้าที่ไทยจะติดตามร่องรอยของเด็กทารกที่เกิดจากแม่อุ้มบุญไทยและเดินทางกลับไปพร้อมกับบิดามารดาตามสายเลือดในต่างแดน
ด้านโฆษกประจำตัวสก็อต มอร์ริสสัน (Scott Morrison) รัฐมนตรีคนเข้าเมืองออสเตรเลียให้สัมภาษณ์ในเสาร์(9)ว่า “กฎหมายสัญชาติออสเตรเลียปี 2007 ไม่กำหนดว่าเด็กจะเกิดมาด้วยวิธีใด แต่เด็กนั้นต้องเกี่ยวพันทางสายเลือดในฐานะบิดามารดาและบุตรมาจากผู้ถือหนังสือเดินทางออสเตรเลีย” และยังให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา มีเด็กพลเมืองอสเตรเลียไม่ต่ำกว่า 800 คน ได้สัญชาติโดยผ่านทางสำนักงานอุ้มบุญทั่วโลก