โอบามาย้ำ จำเป็นต้องโจมตีทางอากาศต่อกลุ่มไอเอส ยัน ปัญหาอิรักแก้ไม่ได้ในชั่วข้ามคืน

รอยเตอร์/เอเจนซีส์/ASTV ผู้จัดการออนไลน์ - ประธานาธิบดี บารัค โอบามา เผยในวันเสาร์ (9) ยืนยันการโจมตีทางอากาศของสหรัฐฯประสบความสำเร็จด้วยดี สามารถทำลายอาวุธยุทโธปกรณ์ของกลุ่มนักรบอิสลามิสต์กลุ่มรัฐอิสลาม (ไอเอส) ที่อาจถูกนำไปใช้ในการเข่นฆ่าพลเรือนชาวเคิร์ดในอิรัก แต่เตือนว่าการแก้ปัญหาภัยคุกคามด้านความมั่นคงในอิรักนั้น มิอาจลุล่วงได้ภายในชั่วข้ามคืน

โอบามากล่าวในวันเสาร์ (9) หลังเครื่องบินรบจำนวนหนึ่งของกองทัพสหรัฐฯ ได้เปิดปฏิบัติการโจมตีทางอากาศ ต่อหลายพื้นที่ในอิรัก เพื่อทำลายคลังอาวุธ ตลอดจนที่มั่นทางยุทธศาสตร์ของนักรบกลุ่มไอเอสที่บุกเข้ายึดครองเมืองต่างๆ ได้อย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา โดยยืนยัน การโจมตีทางอากาศเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อปกป้องชีวิตของพลเรือนผู้บริสุทธิ์ในอิรัก

อย่างไรก็ดี ผู้นำสหรัฐฯยอมรับว่า การสร้างเสถียรภาพในอิรักนั้น มิอาจทำได้เพียงการทิ้งระเบิดโจมตีต่อกลุ่มไอเอส และย้ำว่า ปัญหาด้านความมั่นคงที่อิรักกำลังเผชิญอยู่ในเวลานี้ มีความซับซ้อนและยากเกินกว่าจะแก้ไขให้ลุล่วงได้ภายในไม่กี่วันหรือไม่กี่สัปดาห์

“ข้าพเจ้าไม่คิดว่าเราจะสามารถแก้ปัญหานี้ได้ในเร็ววัน ปัญหาความมั่นคงที่อิรักกำลังเผชิญอยู่ในเวลานี้จะต้องใช้เวลา และลำพังเพียงการทิ้งระเบิดที่เราดำเนินการอยู่นี้ ยังไม่ถือเป็นมาตรการที่เพียงพอในการสร้างเสถียรภาพในอิรัก” โอบามากล่าวระหว่างการแถลงข่าวที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี.

ผู้นำสหรัฐฯยังคงเน้นย้ำว่า รัฐบาลวอชิงตันจะยังคงให้ความช่วยเหลือที่จำเป็นทางด้านการทหาร ตลอดจนให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์ต่อรัฐบาลแบกแดด และกองกำลังชาวเคิร์ดต่อไป แต่ระบุว่า อิรักจำเป็นต้องมีรัฐบาลที่เข้มแข็ง และต้องมีศักยภาพเพียงพอในการรับมือกับภัยคุกคามด้านความมั่นคงด้วยตัวเองเช่นกัน

ทั้งนี้ กลุ่มติดอาวุธรัฐอิสลามสามารถบุกเข้ายึดพื้นที่ทางตอนเหนือของอิรักได้อย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่เดือนมิถุนายนที่ผ่านมา โดยกลุ่มไอเอสได้สร้างความหวาดกลัวด้วยการสังหารโหดผู้คนที่มิใช่ชาวมุสลิม ในพื้นที่ยึดครองเป็นจำนวนมาก ก่อให้เกิดคลื่นผู้อพยพจำนวนหลายหมื่นคน และนำไปสู่การเปิดฉากโจมตีทางอากาศในครั้งนี้ ซึ่งเป็นครั้งแรกของสหรัฐฯนับตั้งแต่ที่สหรัฐฯถอนตัวออกจากการทำสงครามในอิรักตั้งแต่ปี 2011

การโจมตีทางอากาศ รวมถึงถ้อยแถลงล่าสุดของโอบามา เกิดขึ้นในขณะที่พวกนักรบไอเอส กำลังเป็นฝ่ายได้เปรียบในการสู้รบเหนือกองกำลังชาวเคิร์ด และอยู่ห่างจากเมืองอาร์บิลที่เป็นศูนย์กลางของเขตเคอร์ดิสถาน ในระยะเคลื่อนพลไม่เกิน 30 นาที ท่ามกลางรายงานที่ระบุว่า พวกชนกลุ่มน้อยต่างๆที่มิใช่ชาวมุสลิมถูกบังคับเปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลาม หรือต้องเผชิญกับการสังหารหมู่