เอพี/เอเจนซีส์ – คืนวันพฤหัสบดี (7 ส.ค.) ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีสหรัฐฯ บารัค โอบามา ประกาศออกคำสั่งทางบริหารอนุญาตให้ใช้มาตรการทางทหารเพื่อปกป้องผลประโยชน์สหรัฐฯ ในอิรัก ชีวิตพลเมืองอเมริกัน รวมไปถึงพลเมืองอิรักคริสเตียนและยาซิดิสที่นับถือศาสนาโซโรอัสเตอร์จำนวน 40,000 คน ซึ่งกลุ่มเหล่านี้ถือเป็นชนกลุ่มน้อยในประเทศที่ถูกกลุ่มติดอาวุธหมายหัว โดยเพนตากอนสามารถใช้ปฎิบัติการทางอากาศโจมตีกลุ่มติดอาวุธ IS ได้ ที่นับวันกลุ่มนี้จะขยายอำนาจหลังจากมีสมาชิกถือพาสปอร์ตชาติตะวันตกเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก และหวั่นว่าก่อการร้ายต่างชาติเหล่านี้จะเดินทางกลับไปก่อการร้ายที่บ้านเกิด
ในแถลงการณ์จากทำเนียบขาวเมื่อคืนนี้ (7) ประธานาธิบดีสหรัฐฯ บารัค โอบามา ได้แถลงถึง กองกำลังทางอากาศสหรัฐฯ ได้หย่อนสิ่งของบรรเทาทุกข์ให้กับชนกลุ่มน้อยอิรัก ยาซิดิส (Yazidis) ที่ต้องการทั้งน้ำสะอาดและอาหารเป็นจำนวนมาก
“ในวันนี้อเมริกากำลังจะเข้ามาช่วย” โอบามากล่าว
คำประกาศล่าสุดครั้งนี้สะท้อนถึงพันธกิจของสหรัฐฯ ที่จะกระโจนลงในสงครามทางศาสนาที่ยาวนานในอิรักเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ถอนกองกำลังทั้งหมดกลับสหรัฐฯ ในปลายปี 2011 หลังจากก่อนหน้านี้ต้องสู้รบอยู่ในอิรักยาวนานถึง 10 ปี
ในรายงการ The Last Word with Lawrence o'Donnell ของ MSNBC เน็ตเวิร์กเมื่อคืนวานนี้ (7) ได้สัมภาษณ์อดีตเอกอัคราชทูตสหรัฐฯ ประจำอิรัก คริสโตเฟอร์ ฮิลล์ (Former Ambassador Christopher Hill) ถึงเบื้องหลังคำสั่งโจมตีทางอากาศของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ว่า เชื่อว่าการโจมตีทางอากาศจะช่วยหันเหไม่ให้กลุ่ม IS โจมตีดินแดนชาวเคิร์ด ซึ่งในขณะนี้พบว่าบริเวณที่ตกอยู่ใต้อำนาจของ IS กินเนื้อที่กว้างขวางอย่างรวดเร็วนับตั้งแต่ทางใต้ของซีเรียข้ามพรมแดนมายังทางเหนือของอิรัก และทาง IS ได้เข้าครอบครองเขื่อนของประเทศ โดยทางทีมความมั่นคงสหรัฐฯเห็นว่า IS กำลังเป็นอันตรายต่อดินแดนสหรัฐฯ รวมไปถึงผลประโยชน์สหรัฐฯ จากการที่ก่อนหน้านี้ผู้นำสูงสุดของ IS ได้เรียกร้องการเข้ามารวมตัวของนักรบจากภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลกทำให้มีความกังวลว่าเหล่านักรบหน้าใหม่จำนวนมากที่ถือพาสปอร์ตชาติตะวันตกจะเดินทางกลับไปก่อการร้ายในสหรัฐฯ
โอบามาแถลงต่อว่า การช่วยเหลือทางมนุษยธรรมต่อชนกลุ่มน้อยอิรักได้รับการร้องขอจากรัฐบาลอิรัก ทั้งอาหารและน้ำสะอาดถูกหย่อนทางอากาศให้กับชนกลุ่มน้อยอิรัก ทั้งคริสเตียนและยาซิดิส (Yazidis) จำนวน 40,000 คนที่ติดอยู่ที่บริเวณหุบเขาซินจาร์ซึ่งขาดสิ่งของเพื่อการดำรงชีวิต ซึ่งชาวยาซิดิสที่นับถือศาสนาโซโรอัสเตอร์อันเก่าแก่ต้องหลบหนีออกจากบ้านหลังจากกลุ่มมุสลิมติดอาวุธ IS ประกาศที่จะบังคับให้ชาวยาซิดิสเปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลาม และต้องจ่ายค่าปรับทางศาสนาด้วยชีวิต โดยคนเหล่านี้ต้องเลือกว่าจะต้องหลบหนีออกไปหรือจะต้องเผชิญหน้ากับความตาย
นอกจากนี้ยังพบว่า กลุ่ม IS ยังเข้ายึด Qaraqosh ที่เป็นเมืองชุมชนชาวคริสเตียนใหญ่ที่สุดในอิรัก และมีประชาชนของเมือง 25% หรือราว 100,000 คน ได้หลบหนีออกไปเนื่องด้วยเกรงว่าจะต้องถูกสังหารหากไม่ยอมเปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลามตาม IS
มีรายงานว่านับตั้งแต่ชนกลุ่มน้อยติดอยู่ที่เทือกเขาซินจาร์ มีผู้เสียชีวิตจากการขาดน้ำและอาหารไปแล้ว 40 คน
ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ผิวสีที่ถือว่าเป็นผู้นำคนแรกในการนำทหารอเมริกันกลับจากอิรักมีราคาที่ต้องจ่ายในการออกคำสั่งการโจมตีทางอากาศในอิรักหนนี้เนื่องด้วยต้องคำนึงถึงความรู้สึกชาวอเมริกันที่ไม่ต้องการให้ทหารสหรัฐฯ ต้องจบชีวิตในการสู้รบในสงครามของคนอื่น ซึ่งโอบามาได้รับปากว่าจะไม่มีการส่งกองกำลังทหารสหรัฐฯทางภาคพื้นเข้าสู่สมรภูมิอิรักอีกครั้ง โดยย้ำว่าจะไม่มีปฎิบัติการทางทหารของสหรัฐฯในบทแก้ปัญหาวิกฤษสงครามศาสนาของนายกรัฐมนตรีอิรัก นูรี อัลมาลิกี
“ในฐานะเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุด ผมจะไม่มีวันยอมให้สหรัฐฯต้องถูกดึงเข้าไปในวังวนสงครามของคนอื่นอีกครั้งในอิรัก” โอบามาแถลงต่อ
แต่กระนั้นโอบามาได้สรุปว่า การโจมตีทางอากาศเป็นสิ่งจำเป็นหาก IS ตบเท้าเดินหน้าเข้าใกล้กองกำลังสหรัฐฯ และสถานกงสุลสหรัฐฯ ใน Irbil ทางเหนือของอิรัก โดยพบว่ากองกำลังก่อการ้ายเคลื่อนเข้าใกล้เมืองยุทธศาสตรแห่งนี้ในวันพฤหัสบดี (7) ทั้งนี้ ในต้นปี 2014 กองกำลังทหารสหรัฐฯ จำนวนหนึ่งถูกส่งไปยังอิรักเพื่อตอบโต้การที่กลุ่ม IS เดินหน้าเข้ายึดเมืองต่างๆ ทั่วอิรักอย่างรวดเร็วและมีเป้าหมายเพื่อโค่นล้มรัฐบาลชีอะห์ของอัลมาลิกี โดยต้องการสร้างรัฐอิสลามที่ปกครองโดยกาหลิบสูงสุดและใช้กฎหมายชารีอะห์เป็นบทบัญญัติของประเทศ
“เมื่อไรก็ตามที่พลเมืองอเมริกันตกอยู่ในอันตราย ทางวอชิงตันต้องเริ่มลงมือ และนี่ถือเป็นความรับผิดชอบในฐานะผู้นำสูงสุดด้านสายบังคับบัญชา” โอบามาแถลงต่อ
นอกจากนี้ โอบามายังกล่าวว่า การโจมตีอากาศกระทำได้เพื่อช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ความมั่นคงอิรักปกป้องชีวิตพลเรือน
ด้านเพนตากอนแถลงว่า การหย่อนสิ่งบรรเทาทุกข์ทางอากาศนั้นใช้เครื่องบินรุ่น C-17 จำนวน 1 ลำ และเครื่องบินลำเลียงรุ่น C-130 จำนวน 2 ลำ เพื่อจัดส่งน้ำและอาหารทั้งสิ้น 72 ชุด ซึ่งปฏิบัติการนี้ได้รับการคุ้มครองจากเครื่องบินขับไล่สหรัฐฯ F/A-18 จำนวน 2 ลำที่บินประกบตั้งแต่ฐานทัพอากาศแห่งหนึ่งในสถานที่ไม่เปิดเผยเพื่อความปลอดภัยของผู้ปฎิบัติงาน โดยเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ได้ลำเลียงน้ำสะอาดจำนวน 5,300 แกลอน และอาหารกล่องพร้อมทานจำนวน 8,000 ชุดในเวลา 15 นาทีที่จุดนัดหมาย ด้วยดีโดยไม่มีการใช้อาวุธต่อสู้กับกลุ่มมุสลิมซุนหนี่ติดอาวุธแต่อย่างใด
การช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมครั้งนี้เป็นไปตามหน้าที่ของสหรัฐฯ ที่ต้องเข้าช่วยเหลือทั่วโลกโดยการแทรกแซงไม่ให้เกิดการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ดังที่โอบามแถลงตบท้ายว่า “สหรัฐฯ ต้องปฏิบัติอย่างระมัดระวังและรอบคอบเพื่อป้องกันการที่จะก่อให้เกิดการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์”