รอยเตอร์/เอเจนซีส์ - นายทหารอเมริกันยศพลตรีผู้หนึ่งถูกยิงเสียชีวิต แล้วยังมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีก 14 คน โดยคนหนึ่งเป็นพลจัตวาของเยอรมนี อีก 2 เป็นนายพลอัฟกานิสถาน ในเหตุการณ์ที่ทหารอัฟกันหันกระบอกปืนมาเช่นฆ่าทหารชาติพันธมิตรครั้งล่าสุด อย่างไรก็ตาม กองทัพสหรัฐฯ ออกมายืนยันว่าจะสานต่อภารกิจในอัฟกานิสถานให้ลุล่วง
กองทัพบกสหรัฐฯ แถลงเมื่อคืนวันอังคาร (5 ส.ค.) ว่า ผู้เสียชีวิตคือ พลตรีแฮโรลด์ กรีน นายทหารอาวุโสประจำกองกำลังสนับสนุนด้านความมั่นคงนานาชาติ (ISAF) ในอัฟกานิสถาน นับเป็นนายทหารระดับอาวุโสที่สุดของสหรัฐฯ ที่เสียชีวิตในระหว่างปฏิบัติภารกิจนอกประเทศตั้งแต่สงครามเวียดนามเป็นต้นมา
ทางด้าน พล.ร.ต.จอห์น เคอร์บี โฆษกกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ระบุว่า เหตุการณ์กราดยิงคราวนี้เกิดขึ้นที่มหาวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักรจอมพลฟาฮิม ซึ่งเป็นศูนย์ฝึกในกรุงคาบูล ประเทศอัฟกานิสถานเมื่อวันอังคาร โดยนอกจาก พล.ต.กรีน เสียชีวิตแล้ว ยังมีผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัสอีกหลายคน ซึ่งในจำนวนนี้รวมถึงนายพลจัตวาของเยอรมนี 1 คน และนายพลอัฟกันอีก 2 คน ส่วนมือปืนถูกยิงเสียชีวิต
เพนตากอนระบุว่า พล.ต.กรีนอยู่ระหว่างการเดินทางเยี่ยมศูนย์ฝึกตามปกติ ขณะที่กระทรวงกลาโหมอัฟกานิสถานแถลงว่า มือปืนเป็น “ผู้ก่อการร้ายในเครื่องแบบทหาร” และใช้ปืนกลเบา
ทางด้านกองทัพเยอรมนีบอกว่า มีนายทหารยศพลจัตวาของตน เป็น 1 ใน 14 สมาชิกกองกำลัง ISAF ที่ได้รับบาดเจ็บในคราวนี้ โดยผู้บาดเจ็บเหล่านี้มีทั้งทหารอเมริกันและอังกฤษ ล่าสุดอาการของนายพลชาวเยอมันผู้นี้อยู่ในขั้นปลอดภัยแล้ว
สำหรับ พล.อ.เรย์ โอเดียร์โน เสนาธิการทหารบกสหรัฐฯ (ตำแหน่งนี้ในกองทัพสหรัฐฯเทียบกับกองทัพไทย ก็คือผู้บัญชาการทหารบก) ออกคำแถลงแสดงความเสียใจต่อครอบครัวของกรีน พร้อมทั้งยืนยันว่า กองทหารอเมริกันยังคงมุ่งมั่นทำงานร่วมกับอัฟกานิสถานเพื่อรับประกันความปลอดภัยและความมั่นคงของทหารและพลเรือนของกองกำลังนานาชาติทั้งหมด
พล.ต.กรีนเป็นนายทหารที่เชี่ยวชาญด้านการจัดหาทรัพยากร และการประจำการในอัฟกานิสถานคราวนี้ เป็นการเดินทางไปปฏิบัติภารกิจในเขตสงครามครั้งแรก
แกรม สมิธ นักวิเคราะห์ที่ประจำอยู่ในกรุงคาบูลของ “อินเตอร์เนชันแนล ไครสิส กรุ๊ป” อธิบายว่า นายทหารผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดหาทรัพยากร ถือเป็นผู้ที่จะสามารถช่วยอัฟกานิสถานได้อย่างมากมาย ในการดำรงคงอยู่ด้วยตนเองภายหลังการถอนกำลังของนานาชาติ
สมิธบอกว่า งานของกรีนมีความสำคัญมากในด้านการส่งกำลังบำรุง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาพที่กองทัพอัฟกานิสถานเวลานี้ยังขาดไร้ความสามารถอันจำเป็น ในการประคับประคองให้มีน้ำมันดีเซล, กระสุน และอะไหล่ต่างๆ ใช้กันอย่างไม่ขาดตอน
เหตุกราดยิงโจมตีล่าสุดคราวนี้ ก่อให้เกิดคำถามขึ้นมาอีกเกี่ยวกับความสามารถของกองกำลัง ISAF ขององค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ (นาโต) ในการฝึกอบรมและให้คำปรึกษากองทัพและกองตำรวจอัฟกานิสถาน ขณะที่กองกำลังนานาชาติค่อยๆ ถอนกำลังกลับประเทศ
การที่ทหารอัฟกันหันมาเข่นฆ่าสังหารทหารชาติพันธมิตรที่เกิดขึ้นในครั้งก่อนๆ ได้บ่อนทำลายความไว้วางใจระหว่างกัน และเพิ่มภาระในการฝึกอบรมกองกำลังความมั่นคงอัฟกัน 350,000 คนของนานาชาติ เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับกลุ่มตอลิบาน หลังจากที่กองทัพอเมริกันและชาตินาโตอื่นๆ ถอนตัวออกไปแล้ว
ทางด้าน ชัค เฮเกล รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ ได้หารือทางโทรศัพท์กับพลเอกโจ ดันฟอร์ด ผู้บัญชาการกองทัพอเมริกันและกองกำลัง ISAF ในอัฟกานิสถาน เกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าว และแถลงว่าเจ้าหน้าที่อัฟกันและกองกำลังร่วมนานาชาติกำลังสอบสวนกรณีนี้อยู่
ส่วนประธานาธิบดีฮามิด การ์ไซของอัฟกานิสถาน ก็ได้ประณามการโจมตีดังกล่าวว่า เป็นการกระทำของคนขี้ขลาด
ตรงข้ามกับกลุ่มตอลิบานที่ออกคำแถลงยกย่อง “ทหารอัฟกัน” ผู้ก่อเหตุครั้งนี้ และสำทับว่า การที่ทหารอัฟกันหันมาเข่นฆ่าทหารชาติพันธมิตรเช่นนี้ สะท้อนให้เห็นความสามารถของตอลิบานในการแทรกซึมกองทัพข้าศึก ขณะที่เจ้าหน้าที่กองกำลัง ISAF กล่าวว่า เหตุการณ์ในลักษณะนี้มักเกิดขึ้นจากความเข้าใจผิดหรือความขัดแย้งในระหว่างทหาร
เจ้าหน้าที่ทหารของอเมริกาเสริมว่า ยังเร็วเกินไปที่จะระบุว่า นายทหารระดับสูงเป็นเป้าหมายเฉพาะเจาะจงของคนร้ายรายนี้หรือไม่
ทั้งนี้ นับจากปี 2012 เกิดเหตุการณ์ลักษณะนี้หลายสิบครั้งแล้ว กระทั่งกองกำลังนานาชาติต้องดำเนินมาตรการเพื่อลดการมีปฏิสัมพันธ์กับกองทัพและกองตำรวจอัฟกัน นับจากนั้น การโจมตีเช่นนี้ก็ลดลงอย่างชัดเจนเหลือเพียง 15 ครั้งในปี 2013 เทียบกับ 48 ครั้งในปี 2012
อย่างไรก็ดี รายงานของเพนตากอนระบุว่า แม้การโจมตีเช่นนี้ลดลง แต่กลับส่งผลเชิงยุทธศาสตร์ต่อการปฏิบัติภารกิจในอัฟกานิสถาน และบ่อนทำลายความสัมพันธ์ระหว่างกองกำลังนานาชาติกับเจ้าหน้าที่ทหารตำรวจอัฟกัน นอกจากนี้ยังไม่มีทางที่จะขจัดภัยคุกคามที่จะเกิดเหตุเช่นนี้ขึ้นอีกให้หมดสิ้นไปได้