เอเจนซีส์ – รัฐมนตรีต่างประเทศ จอห์น เคร์รี ของสหรัฐฯ ระบุในวันอาทิตย์ (20 ก.ค.) ว่า เป็นที่ชัดเจนแล้วว่าเครื่องยิงขีปนาวุธที่ใช้ยิงเครื่องบินโดยสารเที่ยวบิน MH17 ร่วงที่ภาคตะวันออกของยูเครน ใกล้ๆ กับชายแดนรัสเซียนั้น เป็นอาวุธซึ่งมอสโกจัดหาให้พวกกบฎแบ่งแยกดินแดน ขณะที่ทางด้านรัฐบาลกรุงเคียฟก็สำทับกล่าวหารัสเซียช่วยเหลือกลุ่มแบ่งแยกดินแดนซุกซ่อนและทำลายหลักฐานที่จะพิสูจน์ความเกี่ยวข้องกับโศกนาฏกรรมนี้ ส่วนทางฝ่ายกบฏได้ยื่นข้อแม้ยินยอมให้นานาชาติเข้าถึงพื้นที่เกิดเหตุ ต่อเมื่อกรุงเคียฟยอมหยุดยิง
เคร์รีกล่าวกับโทรทัศน์ซีเอ็นเอ็นในวันอาทิตย์ว่า “เป็นที่ชัดเจนอย่างยิ่งว่า นี่คือระบบอาวุธซึ่งถูกจัดส่งจากรัสเซียไปสู่มือของพวกแบ่งแยกดินแดน” นอกจากนั้นเขายังระบุว่า กลุ่มกบฎในยูเครนตะวันออกที่นิยมรัสเซียเหล่านี้ กำลังขัดขวางการสืบสวนสอบสวนของนานาชาติ ตลอดจนขัดขวางไม่ให้มีการเคลื่อนย้ายศพเหยื่อเคราะห์ร้ายทั้ง 298 คนออกมาจากสถานที่เครื่องบินตกอย่างถูกต้องเหมาะสม ทั้งนี้เขาระบุว่าจุดที่ MH17 ตกในเวลานี้อยู่ในสภาพที่ “พิลึกพิลั่น” เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเป็นอย่างมากเสียแล้ว
คำพูดของเคร์รี สอดคล้องกับรายงานของหนังสือพิมพ์วอชิงตัน โพสต์ เมื่อคืนวันเสาร์ (19 ) ซึ่งอ้างการเปิดเผยของเจ้าหน้าที่อเมริกันคนหนึ่งที่ไม่ประสงค์ออกนามว่า หน่วยข่าวกรองสหรัฐฯได้รับข้อมูลที่บ่งชี้ว่า มีการเคลื่อนย้ายเครื่องยิงจรวดของรัสเซีย 3 ชุดเข้าสู่ยูเครนเมื่อกว่าสัปดาห์ที่ผ่านมา
วอชิงตันโพสต์ ยังระบุว่า วิตาลี เนย์ดา หัวหน้าหน่วยข่าวกรองต่อต้านการข่าวกรองของยูเครน มีภาพและหลักฐานว่า มีการเคลื่อนย้ายระบบขีปนาวุธต่อต้านอากาศยานแบบ Buk M-1 จำนวน 3 ชุดจากที่มั่นที่ฝ่ายกบฏยึดครองเข้าสู่รัสเซียในช่วงเช้าวันศุกร์ (18) หรือไม่ถึง 12 ชั่วโมงหลังจากเครื่องบินโดยสารแบบโบอิ้ง 777ของมาเลเซีย แอร์ไลนส์ (MAS) ถูกยิงตก ทั้งนี้ปรากฏด้วยว่าเครื่องยิงชุดหนึ่งมีขีปนาวุธหายไป 1 ลูก
กรุงเคียฟนั้นกล่าวหาเรื่อยมาว่า กลุ่มกบฏสนับสนุนรัสเซียเป็นผู้ที่ใช้ระบบขีปนาวุธ Buk ที่มอสโกจัดหาให้ ยิงเที่ยวบิน MH17ตก เนื่องจากเข้าใจผิดว่า เป็นเครื่องบินขนส่งทางทหารของยูเครน
ขณะที่ประธานาธิบดีบารัค โอบามาแห่งสหรัฐฯ และพวกผู้นำสำคัญของโลก ต่างเชื่อว่า MH17 ถูกยิงตกโดยขีปนาวุธประเภทยิงจากพื้นดินสู่อากาศอันซับซ้อน ที่ยิงจากพื้นที่ยึดครองของกบฏยูเครน จนส่งผลให้ผู้โดยสารและลูกเรือทั้งหมด 298 คนเสียชีวิต
วอชิงตันโพสต์ ยังอ้างการเปิดเผยของเจ้าหน้าที่คนเดิมที่ว่า จากการประเมินทบทวนข่าวกรองใหม่ของอเมริกาบ่งชี้ว่า มอสโกมีแนวโน้มที่จะจัดหาระบบต่อต้านอากาศยานซับซ้อนให้กลุ่มแบ่งแยกดินแดนโปรรัสเซียเมื่อไม่กี่วันมานี้ ซึ่งสอดคล้องกับหลักฐานที่ยูเครนนำมาแสดง
ในเวลาเดียวกับที่ยูเครนกล่าวหารัสเซียว่า ได้ช่วยเหลือกบฏซ่อนและทำลายหลักฐานที่จะพิสูจน์ความเกี่ยวข้องกับโศกนาฏกรรมนี้อีกด้วย
สำหรับความเป็นไป ณ สถานที่เครื่องบินตกนั้น เมื่อวันอาทิตย์ มีรายงานว่า กบฏยูเครนได้เคลื่อนย้ายร่างผู้เสียชีวิต 198 ศพจากที่เกิดเหตุ ขณะที่สำนักข่าวริอา โนโวสสตี ของรัสเซียรายงานว่า ขบวนรถไฟที่มีห้องเย็น 5 ห้องนำร่างผู้เสียชีวิตจากสถานีใกล้ที่เกิดเหตุที่สุดไปยังฐานที่มั่นของกบฏในโดเนตสก์ในยูเครนตะวันออก โดยมีเจ้าหน้าที่ขององค์การเพื่อความมั่นคงและความร่วมมือในยุโรป (OSCE) ตรวจสอบห้องเย็น
นอกจากนั้น กบฏโปรรัสเซียที่เฝ้าที่เกิดเหตุยังถอนตัวออกไป โดยทิ้งเปลหาม หน้ากากอนามัย และถุงมือพลาสติกไว้เกลื่อนกลาด ขณะที่เสาซึ่งใช้ระบุจุดพบศพถูกถอนออกเช่นเดียวกัน
เจ้าหน้าที่หน่วยฉุกเฉินท้องถิ่นเดินทางออกจากสถานที่เกิดเหตุในวันอาทิตย์ และบอกเพียงว่า กลุ่มกบฏจะจัดแถลงข่าวเรื่องนี้อย่างเป็นทางการในภายหลัง
ทางด้านประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูตินแห่งรัสเซีย ปฏิเสธข้อกล่าวหาที่ว่ามอสโกให้เงินสนับสนุนหรือให้การสนับสนุนทางการทหารแก่กบฏยูเครน พร้อมกันนั้นเขาก็กล่าวโทษทางการกรุงเคียฟว่าอยู่เบื้องหลังการยิง MH17 เพื่อใส่ร้ายกลุ่มกบฏ และโน้มน้าวให้พันธมิตรตะวันตกส่งทหารเข้าปราบปรามและปิดกั้นชายแดนที่ติดกับรัสเซีย
เช่นเดียวกัน ผู้บัญชาการกลุ่มกบฏซึ่งยืนยันว่า ฝ่ายตนไม่มีระบบขีปนาวุธ Buk ในครอบครองแต่อย่างใด
กบฏโปรรัสเซียยังทำให้ทั่วโลกเดือดดาลมากขึ้น ด้วยการส่งอีเมลถึงสื่อเมื่อวันอาทิตย์ ยื่นคำขาดว่า จะรับประกันความปลอดภัยของคณะตรวจสอบนานาชาติที่จะเดินทางไปยังที่เกิดเหตุ ต่อเมื่อรัฐบาลยูเครนตกลงหยุดยิงเท่านั้น โดยอีเมลฉบับนี้ลงชื่อรับรองโดยอังเดร เพอร์กิน ผู้สถาปนาตนเองเป็นรองนายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาชนโดเนตสก์
กลุ่มกบฏยังใช้ภาษาก้าวร้าวว่า สงครามประชาสัมพันธ์ท่ามกลางวิกฤตสืบเนื่องจากการที่เคียฟล้มเหลวในการทำข้อตกลงหยุดยิงกับพวกตนนั้น ทำให้มองเห็นภาพว่า รัฐบาลยูเครนนั้นประกอบด้วยเหล่าคนบ้ากระหายเลือด
ฝ่ายประธานาธิบดี เปโตร โปโรเชนโก ของยูเครน ที่ยุติข้อตกลงหยุดยิงเมื่อวันที่ 1 ที่ผ่านมา และประกาศไม่ทำข้อตกลงใหม่จนกว่ากลุ่มกบฏจะยอมวางอาวุธนั้น ใช้เวลาตลอดวันเสาร์โน้มน้าวให้ผู้นำโลกประกาศว่า กลุ่มกบฏเป็นองค์การก่อการร้ายที่ควรถูกดำเนินคดีในศาลอาญาระหว่างประเทศที่กรุงเฮก
โปโรเชนโกบอกกับประธานาธิบดีฟรังซัวส์ ออลลองด์ ของฝรั่งเศสว่า การยิงเครื่องบินของ MAS ที่เดินทางออกจากอัมสเตอร์ดัมมุ่งหน้าสู่กัวลาลัมเปอร์ ไม่ต่างกับเหตุวินาศกรรมอเมริกาเมื่อวันที่ 11 กันยายนปี 2001 และการระเบิดเครื่องบินแพนแอมกลางอากาศเมื่อปี 1998 ที่มีผู้เสียชีวิตเกือบ 300 ราย
ความเคลื่อนไหวเหล่านี้มีขึ้นขณะที่ทั่วโลกกราดเกรี้ยวใส่รัสเซียที่กำลังตกในสภาพถูกโดดเดี่ยวมากขึ้นเรื่อยๆ หลังจากรัสเซียไม่มีท่าทีกดดันให้กลุ่มกบฏยอมให้ผู้ตรวจสอบนานาชาติเข้าถึงที่เกิดเหตุ ซึ่งศพผู้เสียชีวิตถูกทิ้งให้แผดเผาจากความร้อนในทุ่งข้าวสาลีและดอกทานตะวัน
กลุ่มกบฏที่ควบคุมเขตอุตสาหกรรมทางตะวันออกของยูเครนนับจากต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา อนุญาตเพียงให้สมาชิกทีมตรวจสอบจาก OSCE จำนวน 30 คน เข้าถึงที่เกิดเหตุอย่างจำกัดตั้งแต่วันศุกร์ (18) ทีมตรวจสอบนี้ต้องการให้เกิดมั่นใจว่า ร่างผู้เสียชีวิตได้รับการปฏิบัติด้วยความเคารพ
จอห์น เคร์รี รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ บอกกับเซอร์เก ลาฟรอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย ในระหว่างการหารือกันว่า วอชิงตันกังวลอย่างลึกซึ้งที่เจ้าหน้าที่ตรวจสอบไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าถึงพื้นที่ที่ MH17 ตก
ภายหลังการหารือดังกล่าว มอสโกออกคำแถลงเรียกร้องให้มีการส่งมอบ “พยานหลักฐาน” ซึ่งรวมถึงกล่องดำให้แก่คณะตรวจสอบนานาชาติ
ด้านนายกรัฐมนตรีเนเธอร์แลนด์ มาร์ก รุตต์ ซึ่งสั่งลดธงชาติครึ่งเสาในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาเพื่อไว้อาลัยแก่ชาวดัตช์ 192 ที่โดยสารไปกับ MH17 เผยว่า ได้เรียกร้องให้ปูตินรับผิดชอบในการดำเนินการสอบสวนที่เชื่อถือได้
ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตรวจสอบจากแดนกังหันลมมีกำหนดเดินทางถึงยูเครนตะวันออกในวันอาทิตย์
ขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรีเดวิด คาเมรอนของอังกฤษ เรียกร้องให้ตะวันตกเปลี่ยนแปลงแนวทางในเรื่องการคว่ำบาตรลงโทษมอสโก เว้นแต่รัสเซียจะยุติการดำเนินการในยูเครน คำพูดของเขาดูจะบ่งบอกถึงแนวโน้มที่ยุโรปจะขยายมาตรการลงโทษมอสโกให้มากขึ้นอีก ภายหลังจากกรณี MH17
คาเมรอนแจงว่า จากที่มีการยืนยันว่า เที่ยวบินดังกล่าวถูกยิงโดยขีปนาวุธต่อต้านอากาศยานในน่านฟ้าที่เป็นเขตยึดครองของกบฏโปรรัสเซีย ทำให้ต้องถือว่าความรับผิดชอบตกอยู่กับเครมลิน
ขณะเดียวกัน MAS แถลงเมื่อวันอาทิตย์ว่า จะยกเลิกรหัสเที่ยวบิน MH17 เพื่อแสดงความเคารพต่อผู้โดยสารและลูกเรือ 298 คนที่เสียชีวิตจากโศกนาฏกรรมล่าสุด โดยจะเปลี่ยนไปใช้รหัส MH19 แทนตั้งแต่วันที่ 25 เดือนนี้ รวมทั้งระบุว่า เส้นทางบินอัมสเตอร์ดัม-กัวลาลัมเปอร์ยังคงเปิดให้บริการทุกวันตามปกติ
การยกเลิกรหัสเที่ยวบินครั้งนี้ถือเป็นครั้งที่ 2 ในรอบ 4 เดือน หลังจากก่อนหน้านี้ MAS ยกเลิกรหัส MH370 และ MH371 ภายหลังเที่ยวบิน MH370 จากกัวลาลัมเปอร์สู่ปักกิ่งหายไปลึกลับพร้อมกับผู้โดยสารและลูกเรือ 239 คนนับจากวันที่ 8 มีนาคมจนกระทั่งถึงขณะนี้