เอเอฟพี - คณะลูกขุนในฟลอริดาได้ตัดสินให้ "อาร์เจ เรย์โนลด์ โทแบกโก" จ่ายเงินจำนวน 23.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 767,000 ล้านบาท) ให้แก่ภรรยาของสิงห์อมควันผู้เสียชีวิตจากมะเร็งปอดรายหนึ่ง นับว่าเป็นการสั่งให้จ่ายค่าเสียหายที่มากที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของรัฐนี้ ที่มีโจทก์รายใดรายหนึ่งจะได้รับ
นอกจากนี้ คำตัดสินคดีเมื่อวันศุกร์ (18 ก.ค.) ยังระบุให้จำเลยจ่ายค่าเสียหายกว่า 16 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 520 ล้านบาท) ให้แก่กองมรดกของไมเคิล จอห์สัน ซีเนียร์ ผู้เสียชีวิตอีกด้วย
ระหว่างช่วง 4 สัปดาห์ของการพิจารณาคดี ทนายความของซินเธียร์ โรบินสัน ภรรยาของจอห์สัน ได้โต้แย้งว่า จำเลยคือบริษัท อาร์เจ เรย์โนล โทแบกโก บกพร่องละเลยไม่มีการเตือนผู้บริโภคเกี่ยวกับอันตรายจากการสูบบุหรี่ จนทำให้จอห์นสันต้องป่วยเป็นมะเร็งปอด ฝ่ายโจทก์ยังระบุว่า จอห์นสัน ได้เสพติดบุหรี่ แม้จะพยายามเลิกหลายครั้งแต่ก็ไม่สำเร็จ
คณะลูกขุนในเอสคัมเบีย เคาน์ตี้ ได้ส่งคำตัดสินกำหนดระวางลงโทษให้กับผู้พิพากษาหลังจากปรึกษาหารือกันเป็นเวลานานกว่า 15 ชั่วโมง
วิลลี่ แกรี่ ทนายของโรบินสันระบุในคำแถลงว่า อาร์เจ เรย์โนลด์ รู้อยู่แล้วว่าต้องแบกรับความเสี่ยง จากการผลิตและจำหน่ายบุหรี่โดยที่ไม่มีการให้ข้อมูลเกี่ยวกับอันตรายของบุหรี่ ผลจากความประมาทนั้น ทำให้สามีของลูกความเขา ต้องทุกข์ทรมานจากการป่วยเป็นมะเร็งปอดและเสียชีวิต พวกเขาหวังว่าการตัดสินครั้งนี้จะเป็นการส่งสารไปสู่ อาร์เจ เรย์โนลด์ และบริษัทบุหรี่รายอื่นๆ ให้หยุดเอาชีวิตของผู้บริสุทธิ์มาเสี่ยงอันตรายเสียที
ด้าน เจฟฟรี่ ราบอร์น รองประธานและผู้ช่วยที่ปรึกษาใหญ่ฝ่ายกฏหมายของอาร์เจ เรย์โนลด์ ระบุว่า บริษัทมีแผนที่จะอุทธรณ์คำตัดสินของศาล เนื่องจากตัวเลขค่าเสียหายนั้นไม่สมเหตุสมผล รวมถึงไม่ยุติธรรม ทางบริษัทมั่นใจว่าศาลจะดำเนินการตามกฏหมายและไม่ปล่อยให้มีคำตัดสินแบบนี้อีก เพราะตัวเลขค่าเสียหายนั้นมากเกินไป และไม่อาจทำได้ภายใต้กฏหมายของรัฐและรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ
ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพระบุว่า การสูบบุหรี่ยังคงเป็นเป็นสาเหตุการตายก่อนวัยอันควรอันดับต้นๆ ในสหรัฐอเมริกา ทำให้มีชาวอเมริกันเสียชีวิตเกือบครึ่งล้านในแต่ละปี โดยในปัจจุบันยังคงมีชาวอเมริกันสูบบุหรี่ประมาณ 18 เปอร์เซ็นต์ ลดลงจากที่เคยสูงถึง 42 เปอร์เซ็นต์ในช่วงยุคทศวรรษ 1960
การตัดสินคดีของ อาร์เจ เรย์โนลด์ เกิดขึ้นไม่กี่วันหลังจาก "เรย์โนลด์ อเมริกัน" ซึ่งเป็นบริษัทแม่ ได้ประกาศจะซื้อกิจการคู่แข่งอย่าง "โลลิลาร์ด" เพื่อหวังจะครองตลาดบุหรี่ไฟฟ้าที่กำลังเติบโตขึ้นเรื่อยๆ
การเติบโตของธุรกิจบุหรี่ไฟฟ้าในช่วงหลังๆ เพราะกระแสการใช้จ่ายเงินที่รัดกุมและห่วงสุขภาพมากขึ้นของผู้บริโภค ได้ทำให้ยอดขายบุหรี่แบบปกติลดลง
การซื้อกิจการดังกล่าว อาจเป็นการแปลงโฉมครั้งใหม่ของตลาดบุหรี่สหรัฐฯ ซึ่งเป็นหนึ่งในตลาดที่สำคัญที่สุด โดยที่ในปี 2013 ยังคงมียอดขายสูงถึง 90 พันล้านดอลลาร์ ทั้งนี้ตามข้อมูลตัวเลขจากหน่วยงานสำรวจ ยูโรมอนิเตอร์
กลุ่มแพทย์กว่า 50 รายและผู้เชี่ยวชาญด้านประกันภัย แจ้งต่อองค์การอนามัยโลกเมื่อเดือนพฤษภาคมว่า เมื่อเทียบกับบุหรี่แบบปกติที่คร่าชีวิตผู้คน 1 รายทุก 6 วินาที บุหรี่ไฟฟ้าที่เป็นทางเลือกใหม่สามารถช่วยป้องกันโอกาสเป็นมะเร็งได้มากขึ้น รวมถึงโรคเกี่ยวกับหัวใจและปอด โรคเส้นเลือดสมองตีบ อันจะเกิดจากสารพิษที่อยู่ในบุหรี่แบบธรรมดา
เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา สหรัฐอเมริกาได้ฉลองครบรอบ 50 ปี ของการออกรายงานของอธิบดีกรมการแพทย์ครั้งแรก ที่เตือนว่า ควันบุหรี่อาจทำให้เป็นมะเร็งปอดได้ หลังจากนั้นก็มีการค้นพบว่า บุหรี่ยังมีส่วนทำให้เกิดโรคมะเร็งอีก 13 ชนิด รวมถึงโรคร้ายอื่นๆ อาทิ มะเร็งตับ มะเร็งลำไส้ใหญ่ ตาบอดและเบาหวาน