เอเอฟพี - เกาหลีใต้ประกาศวันนี้ (18 ก.ค.) ว่าจะเปิดตลาดนำเข้าข้าวนับตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไป แต่จะขึ้นภาษีศุลกากรเพื่อป้องกันไม่ให้ชาวนาในประเทศต้องได้รับความเสียหายไปกว่าเดิม
โซลต้องตัดสินใจเปิดตลาดนำเข้าข้าว เนื่องจากความตกลงว่าด้วยโควตาการนำเข้าข้าวระหว่างเกาหลีใต้กับองค์การการค้าโลก (ดับเบิลยูทีโอ) มานาน 2 ทศวรรษได้สิ้นสุดผลผูกมัดลงในเร็วๆ นี้
ถึงแม้ความเคลื่อนไหวนี้จะเป็นสิ่งที่คาดการณ์ไว้แล้ว แต่ก็ยังเป็นประเด็นทางการเมืองที่ทั้งเด็ดขาดและอ่อนไหวเป็นอย่างยิ่ง และจุดชนวนให้เกิดกระแสต่อต้านในหมู่ชาวนาที่โกรธแค้น จนออกมารวมตัวชุมนุมคัดค้านนอกศูนย์ราชการในกรุงโซล
ลี ดองพิล รัฐมนตรีกระทรวงเกษตรเกาหลีใต้กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า “เราได้ข้อสรุปว่า ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากการเปิดตลาดข้าว”
ลีให้คำมั่นว่า “แต่เราจะปกป้องอุตสาหกรรมข้าวให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ด้วยการกำหนดอัตราภาษีศุลกากรให้สูงที่สุดเท่าที่กฎจะอำนวย”
ภาษีนำเข้าจะต้องผ่านการตรวจสอบจากดับเบิลยูทีโอ แต่ ลี กล่าวว่าโซลจะขึ้นพิกัดอัตราศุลกากร “ระหว่าง 300 ถึง 500 เปอร์เซ็นต์”
ข้อตกลงที่เกาหลีใต้ทำร่วมกับองค์การการค้าโลกในปัจจุบันจะทำให้ในปีนี้ เกาหลีใต้ต้องนำเข้าข้าวเกือบ 410,000 ตัน หรือคิดเป็นราว 10 เปอร์เซ็นต์ของปริมาณการบริโภค
กระทรวงเกษตรโสมขาวระบุในคำแถลงว่า การตั้งพิกัดอัตราศุลกากรให้สูงลิ่วย่อมหมายความว่า การนำเข้าข้าวที่เพิ่มขึ้นในปีถัดๆ ไปจะ “ไม่ใช่ปัญหาใหญ่”
ชาวนาต่างกลัวว่า หากเกาหลีใต้ทำข้อตกลงการค้าเสรีร่วมกับชาติผู้ส่งออกข้าว จะทำให้ต้องลดภาษีลง
พันธมิตรของกลุ่มชาวนาและสหพันธ์แรงงานเกาหลีใต้ได้ออกคำแถลงประณามการเปิดตลาดข้าวว่าเป็น “ภัยพิบัติจากน้ำมือมนุษย์”
องค์การระบุว่า “เราจะไม่ยอมรับการประกาศปาวๆ แต่เพียงฝ่ายเดียวที่ไร้ความรับผิดชอบเช่นนี้”
ขณะที่มีการจัดการประท้วงด้านนอกศูนย์ราชการเกาหลีใต้ ชาวนาโสมขาวหลายสิบคนระดมกันเหวี่ยงกระสอบข้าวข้ามกำแพง และโบกป้ายที่มีข้อความว่า “ข้าวคือชีวิตของเรา” และ “ปกป้องอธิปไตยให้กับอาหารของเรา”
ผู้ชุมนุมบางส่วนสมปลอกแขนและโกนหัวประท้วง
อิม จองบิน อาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยแห่งชาติโซล ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการค้าได้ตั้งข้อสังเกตว่า รัฐบาลเกาหลีใต้ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากการเปิดตลาดนำเข้าข้าว
อิมกล่าวว่า “เกาหลีใต้ต้องพึ่งพาการค้าเป็นหลัก และเป็นไปได้ยากที่จะปิดตลาดข้าวต่อไป ขณะที่เรายังต้องส่งออกสินค้าอื่นๆ”
