เอเจนซีส์ - ปูตินเตือนมาตรการลงโทษจะคืนสนองสหรัฐฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริษัทพลังงาน พร้อมโจมตีนโยบายต่างประเทศวอชิงตันออกแนวก้าวร้าวมากกว่าเป็นมืออาชีพ กระนั้น ผู้นำแดนหมีขาวแบะท่าว่า พร้อมเจรจาหาวิธีทางการทูตเพื่อคลี่คลายข้อพิพาทกับสหรัฐฯ
สำนักข่าวอิตาร์ทาสส์ ของทางการรัสเซียรายงานเมื่อวันพฤหัสบดี (17) โดยอ้างคำพูดของประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ว่า มาตรการลงโทษครั้งใหม่ของสหรัฐฯ จะผลักดันให้ความสัมพันธ์มอสโก-วอชิงตันเข้าสู่ทางตัน
“ผมเชื่อว่าการตัดสินใจนี้จะส่งผลลบต่อผลประโยชน์ระยะยาวของประเทศและประชาชนชาวอเมริกัน” ปูตินกล่าวระหว่างเยือนบราซิล และเสริมว่าบริษัทพลังงานแดนอินทรีจะตกเป็นเหยื่อสำคัญจากมาตรการคว่ำบาตรล่าสุดของวอชิงตันเอง
ประมุขเครมลินยังกล่าวหาว่า นโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ ออกแนวก้าวร้าวมากกว่าเป็นมืออาชีพ โดยอ้างอิงวิกฤตในอิรัก ลิเบีย และอัฟกานิสถาน
อย่างไรก็ดี ปูตินแสดงความหวังว่า รัสเซียและสหรัฐฯ อาจหาข้อยุติกันได้ด้วยแนวทางการทูต
นอกจากนี้ ในช่วงเช้าวันพฤหัสบดี เซียร์เกย์ เรียบคอฟ รัฐมนตรีช่วยต่างประเทศของรัสเซียยังออกมาวิจารณ์ว่า มาตรการลงโทษของสหรัฐฯ เป็นการกระทำที่ระรานและยอมรับไม่ได้ พร้อมประณามนักการเมืองและเจ้าหน้าที่ที่อยู่เบื้องหลังการดำเนินการนี้ และยืนยันว่าจะตอบโต้วอชิงตันอย่างเจ็บปวดและรุนแรง
ทั้งนี้ สืบเนื่องจากเมื่อวันพุธที่ผ่านมา (16) สหรัฐฯ ได้ประกาศเพิ่มมาตรการลงโทษรัสเซีย กรณีให้การสนับสนุนกบฏแบ่งแยกดินแดนก่อกวนยูเครน โดยพุ่งเป้าที่บริษัทพลังงานขนาดใหญ่ 2 แห่ง ได้แก่ รอสเนฟและโนวาเทค ซึ่งถูกห้ามทำธุรกรรมเงินกู้ระยะยาวกับสถาบันการเงินอเมริกัน, สถาบันการเงินทรงอิทธิพล 2 แห่ง คือ ธนาคารเพื่อการพัฒนา วีอีบี และก๊าซปรอมแบงก์ ที่หมดสิทธิ์เข้าถึงตลาดทุนในสหรัฐฯ
มาตรการแซงก์ชันครั้งใหม่ยังครอบคลุมบริษัทอาวุธอีก 8 แห่ง และบุคคลสำคัญ 4 คน ประกอบด้วย อิกอร์ เชนโกเลฟ ที่ปรึกษา ปูติน, เซียร์เกย์ เนเวรอฟ รองประธานสภาผู้แทนราษฎรรัสเซีย, อเล็กซานเดอร์ โบโรได ผู้นำขบวนการแบ่งแยกดินแดนในยูเครนและ เซียร์เกย์ เบเซดา เจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองรัสเซีย
แม้มาตรการลงโทษของสหรัฐฯ ยังห่างไกลจากการดำเนินการขั้นเด็ดขาดที่ตะวันตกขู่มาตลอดว่า จะตัดเส้นเลือดหล่อเลี้ยงภาคอุตสาหกรรมสำคัญของรัสเซีย แต่เจ้าหน้าที่อเมริกันยืนยันว่า มาตรการเหล่านั้นยังอยู่ในการพิจารณา หากรัสเซียยังไม่ยุติการสนับสนุนกลุ่มกบฏที่ก่อกวนเสถียรภาพยูเครนตะวันออกตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา
“สิ่งที่เราคาดหวังคือ ผู้นำรัสเซียจะตระหนักอีกครั้งว่า การกระทำของพวกเขาในยูเครนส่งผลกระทบตามมา ซึ่งรวมถึงทำให้เศรษฐกิจรัสเซียอ่อนแอลง และรัสเซียถูกโดดเดี่ยวทางการทูตมากขึ้น” ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ประกาศหลังเปิดเผยมาตรการลงโทษต่อเครมลิน
สตีเวน ไพเฟอร์ อดีตเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำยูเครนเห็นด้วยว่า มาตรการลงโทษของวอชิงตันจะทำให้เศรษฐกิจรัสเซียที่ออกอาการซวนเซอยู่แล้วไร้ความแน่นอนมากขึ้น
จนกระทั่งถึงขณะนี้ สหรัฐฯ และสหภาพยุโรป (อียู) ยังลงโทษต่อรัสเซียแบบจำกัดเท่านั้น โดยยุโรปแบนการเดินทางและอายัดทรัพย์สินของบุคคลและหน่วยงานจำนวนหนึ่ง โดยมาตรการลงโทษเหล่านั้นส่งผลต่อการคิดคำนวณของ ปูติน น้อยมาก ดังจะเห็นได้จากที่กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ แถลงเมื่อวันพุธว่า กองทัพรัสเซียระดมกำลังราว 12,000 นายตามแนวชายแดนติดกับยูเครนอีกครั้ง
ทั้งนี้ ยูเครนและตะวันตกกล่าวหาว่า มอสโกส่งเสริมให้เกิดความวุ่นวายในยูเครนตะวันออกด้วยการส่งกำลังและอาวุธให้แก่กลุ่มกบฏแบ่งแยกดินแดน ขณะที่เครมลินยืนกรานปฏิเสธข้อกล่าวหานี้
นอกจากนั้น ทำเนียบขาวยังไม่พอใจมากขึ้นที่บรัสเซลส์ลังเลที่จะออกมาตรการลงโทษภาคเศรษฐกิจรัสเซียโดยตรงด้วยกลัวว่า จะส่งผลย้อนกลับมาหาเศรษฐกิจยุโรปเอง เนื่องจากยุโรปมีความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับรัสเซียลึกซึ้งกว่า
มีรายงานว่า เมื่อวันจันทร์ (14) ทำเนียบขาวได้เชิญนักการทูตยุโรปเข้าพบเพื่อหารือเรื่องดังกล่าว และเตือนว่า โอบามากำลังเตรียมดำเนินมาตรการฝ่ายเดียว หากอียูไม่มีมาตรการที่เด็ดขาดขึ้นระหว่างการประชุมที่บรัสเซลส์ในวันพุธ (16)
แรงกดดันจากวอชิงตันทำให้อียูออกมาตรการลงโทษฉบับใหม่เมื่อคืนวันพุธ (16) ขอให้ธนาคารเพื่อการลงทุนของยุโรปงดทำข้อตกลงระดมทุนใหม่กับมอสโก อียูยังตกลงระงับการอัดฉีดเงินทุนก้อนใหม่ให้แก่ธนาคารเพื่อการฟื้นฟูและการพัฒนาแห่งยุโรปในรัสเซีย
นอกจากนั้น ผู้นำยุโรปยังส่งสัญญาณเป็นครั้งแรกว่า พร้อมลงโทษบริษัทรัสเซียที่ให้การสนับสนุนการบ่อนทำลายอธิปไตย บูรณภาพด้านดินแดน และเอกราชของยูเครน โดยสั่งการให้รัฐมนตรีต่างประเทศร่างรายชื่อบุคคลหรือหน่วยงานที่มีพฤติกรรมดังกล่าวให้เสร็จสิ้นภายในสิ้นเดือนนี้