เอเจนซีส์/ASTV ผู้จัดการออนไลน์-กองทัพปากีสถานเปิดปฏิบัติการครั้งใหญ่ทางภาคพื้นดิน เพื่อกวาดล้างกลุ่มตอลิบานและกลุ่มติดอาวุธหัวรุนแรงอื่นๆในเขตวาซิริสถานเหนือ ติดชายแดนอัฟกานิสถาน ที่ถูกทางการสหรัฐฯขนานนามว่าเป็นศูนย์กลางแห่งการแพร่ระบาดของ “ลัทธิก่อการร้าย”
รายงานข่าวระบุว่า ปฏิบัติการทางทหารของกองทัพปากีสถานเพื่อกวาดล้างกลุ่มนักรบหัวรุนแรงครั้งนี้ เปิดฉากขึ้นพร้อมกันทั้งในและรอบเมืองมิรันชาห์ ซึ่งเป็นเมืองเอกของเขตวาซิริสถานเหนือ และถือเป็นการรุกคืบครั้งสำคัญของทางกองทัพปากีสถานหลังจากมีข้อมูลข่าวกรองที่ยืนยันว่า ได้มีการอพยพ “พลเรือน” ที่ไม่เกี่ยวข้องออกนอกพื้นที่แล้ว
เบื้องต้น หน่วยงานโฆษกของกองทัพปากีสถานออกมาแถลงในคืนวันจันทร์ (30 มิถุนายน) ว่า ทางกองทัพสามารถสังหาร “ผู้ก่อการร้าย” ได้ 15 ราย ขณะที่มีกำลังพลของกองทัพได้รับบาดเจ็บอย่างน้อย 3 นาย พร้อมยืนยัน การกวาดล้างกลุ่มหัวรุนแรงในพื้นที่จะยังคงดำเนินต่อไปอย่างไม่มีกำหนด
ด้านฮาซัน อัสการี ริซวี นักวิเคราะห์ด้านความมั่นคงซึ่งมีฐานอยู่ที่เมืองลาฮอร์ และเคยเป็นอาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยโคลัมเบียในสหรัฐฯ ออกมาให้ความเห็นว่า หากปฏิบัติการทางทหารในครั้งนี้ของกองทัพปากีสถานประสบความสำเร็จ ก็จะถือเป็นชัยชนะครั้งสำคัญครั้งแรกของรัฐบาลปากีสถานซึ่งจะมีผลอย่างยิ่งยวดทางด้านจิตวิทยา และจะส่งผลกระทบอย่างสำคัญต่อการกลับมารวมกลุ่มกันอีกครั้งของพวกหัวรุนแรงในอนาคต
ปฏิบัติการทางทหารที่เกิดขึ้นเป็นผลโดยตรงจากนโยบายของนายกรัฐมนตรีนาวาซ ชาริฟ ผู้นำรัฐบาลปากีสถานที่ประกาศจะ “ขุดรากถอนโคน” กลุ่มติดอาวุธภายในประเทศ เพื่อยุติเหตุรุนแรงที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตไปแล้วมากกว่า 50,000 คนนับตั้งแต่ปี 2001 และส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของปากีสถานที่ได้ชื่อว่า เป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่เป็นลำดับ 2 ของภูมิภาคเอเชียใต้
แหล่งข่าวด้านความมั่นคงในกรุงอิสลามาบัดออกมาเปิดเผยว่า การก่อเหตุโจมตีสนามบินนานาชาติในนครการาจีโดยฝีมือของกลุ่มตอลิบานในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ถือเป็น “ฟางเส้นสุดท้าย” ที่ทำให้นายกรัฐมนตรีนาวาซ ชาริฟ ตัดสินใจยุติกระบวนการเจรจาสันติภาพกับกลุ่มตอลิบาน และนำไปสู่การออกคำสั่งกวาดล้างครั้งใหญ่
อย่างไรก็ดี ข้อมูลจากกลุ่มเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชนระบุว่า ปฏิบัติการทางทหารของกองทัพปากีสถานเพื่อกวาดล้างพวกหัวรุนแรงในวาซิริสถานเหนือครั้งนี้ ส่งผลให้ประชาชนมากกว่า 500,000 คนต้องอพยพออกนอกพื้นที่ และอีกกว่า 65,000 คนต้องอพยพข้ามชายแดนเข้าไปยังอัฟกานิสถาน
