เอเจนซีส์ - หน่วยงานความปลอดภัยทางการขนส่งออสเตรเลีย แจกแจงในรายงานฉบับใหม่ว่า ได้เกิดไฟฟ้าขัดข้องอย่าง “ไม่ปกติ” บนเครื่องบินโบอิ้ง 777 เที่ยวบิน MH 370 ที่สูญหายไปอย่างเป็นปริศนาตั้งแต่ต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ขณะที่พวกผู้เชี่ยวชาญด้านการบินซึ่งวิเคราะห์รายงานนี้ตั้งสมมุติฐานว่า เรื่องนี้อาจเกี่ยวข้องกับการที่มีกลุ่มนักจี้เครื่องบินทำการปรับเปลี่ยนการทำงานของอุปกรณ์สำคัญในห้องนักบิน ด้วยวัตถุประสงค์ที่จะหลีกเลี่ยงไม่ให้ระบบเรดาร์ตรวจจับสัญญาณ
สำนักงานความปลอดภัยทางการขนส่งออสเตรเลีย (ATSB) เพิ่งเผยแพร่รายงานฉบับหนึ่งซึ่งแจกแจงรายละเอียดของเหตุกระแสไฟฟ้าขัดข้องอย่าง “ไม่ปกติ” ที่เกิดขึ้นบนเครื่องบินของสายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์ลำดังกล่าว ในช่วงเวลาไม่ถึง 90 นาทีหลังทะยานขึ้นจากท่าอากาศยานในกรุงกัวลาลัมเปอร์ เมื่อวันที่ 8 มีนาคมที่ผ่านมา
พวกเจ้าหน้าที่สอบสวนเปิดเผยว่า หลังไฟฟ้าเกิดขัดข้องแล้ว ระบบข้อมูลดาวเทียม (satellite data unit หรือ SDU) ของ MH 370 ได้พยายามที่จะล็อกออนเชื่อมกับดาวเทียม ซึ่งเป็นกระบวนการที่ในแวดวงอุตสาหกรรมการบินเรียกว่า “การจับมือ (handshake)
“ความพยายามที่จะล็อกออนเชื่อมกับดาวเทียมในระหว่างที่เครื่องบินกำลังเดินทางอยู่นั้นถือว่าเป็นเรื่องไม่ปกติ และสามารถเกิดขึ้นได้ในไม่กี่กรณีเท่านั้น” พวกเจ้าหน้าที่สอบสวนบอกในรายงานและกล่าวต่อไปว่า หลังจากทำการวิเคราะห์ลักษณะและช่วงเวลาซึ่งระบบ SDU ของ MH370 พยายามที่จะต่อเชื่อมกับดาวเทียมแล้ว พบว่าคำอธิบายที่สอดคล้องมากที่สุดก็คือ เนื่องจากระบบไฟฟ้าที่จ่ายให้ SDU เกิดขัดข้อง
ทางด้าน ปีเตอร์ มารอสซีกี ผู้เชี่ยวชาญด้านการบินจากมหาวิทยาลัยนิวเซาท์เวลส์, ออสเตรเลีย ให้ความเห็นว่า การที่กระแสไฟฟ้าบนเครื่องบินที่กำลังเดินทางมุ่งสู่ปักกิ่งนี้เกิดขัดข้อง อาจจะมาจากความพยายามที่จะจี้เครื่องบิน
เขาอธิบายว่า ถ้าหากมีลูกเรือกำลังพยายามที่จะทำอะไรบางอย่างซึ่งเป็นการมุ่งร้าย หรือมีพวกจี้เครื่องบินอยู่ในเที่ยวบิน MH370 แล้ว คนเหล่านี้ก็จะต้องตัดกระแสไฟฟ้า ด้วยการเปิดอุปกรณ์ตัดกระแสไฟฟ้า “บัส-ทาย เบรกเกอร์” (bus-tie breaker) และเปิดสวิตซ์ควบคุมแบตเตอรี วิธีนี้จะทำให้เครื่องบินเสมือนสูญเสียพลังงานไฟฟ้าในทุกๆ ระบบ ยกเว้นระบบเครื่องยนต์ เนื่องจากเครื่องยนต์มีระบบคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กของตัวเอง และได้รับกระแสไฟฟ้าจากเครื่องกำเนิดไฟฟ้าซึ่งติดตั้งแยกต่างหากออกไป
มารอสซีกีแจกแจงต่อไปว่า คนร้ายสามารถที่จะจัดระบบไฟฟ้าภายในเครื่องบินเสียใหม่ ซึ่งจะทำให้เครื่องบินเสมือนกับหายสูญไปโดยที่จะไม่มีการติดต่อกับดาวเทียม และอุปกรณ์ทรานสปอนเดอร์ก็ไม่ส่งสัญญาณข้อมูลใดๆ ออกไป หลังจากนั้น พวกเขาก็สามารถเปิดระบบคอมพิวเตอร์บริหารจัดการเที่ยวบินขึ้นมาใหม่ แต่ทั้งนี้ผู้ที่ดำเนินการเช่นนี้ได้ต้องเป็นนักบินที่มีความฉลาดมากๆ หรือเป็นบุคคลซึ่งมีความรู้ความเชี่ยวชาญในระบบอุปกรณ์ของห้องนักบินอย่างดีเยี่ยม
สำหรับ เดวิด กลีฟ จากมหาวิทยาลัยลัฟบะระ (Loughborough) ในอังกฤษ ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์เทเลกราฟ ของอังกฤษว่า การที่ไฟฟ้าบนเครื่องบินขัดข้องอาจเกิดจากความพยายามที่จะเข้าไปปรับเปลี่ยนเพื่อให้มีการใช้ระบบต่างๆ ของเครื่องบินให้น้อยที่สุด
เขาชี้ว่า อาจจะมีใครสักคนเข้าไปปั่นป่วนทั่วห้องนักบินจนกระทั่งไฟฟ้าขัดข้อง หรืออาจจะเป็นการจงใจปิดเครื่องยนต์ทั้งคู่ของเครื่องบินชั่วระยะหนึ่ง ทั้งนี้ในการเข้าไปปั่นป่วนห้องนักบิน จะทำให้ต้องมีการปิดระบบไฟฟ้าเป็นการชั่วคราว แล้วจากนั้นก็เปิดไฟขึ้นมาใหม่เมื่อจำเป็นต้องใช้ระบบอื่นๆ ในการบังคับเครื่องบิน
ส่วน คริส แมคลาฟลิน จากบริษัทอินมาร์แซต ซึ่งเป็นเจ้าของและผู้ดำเนินการระบบเครือข่ายดาวเทียมครอบคลุมทั่วโลก บอกกับหนังสือพิมพ์เทเลกราฟว่า “ดูเหมือนจะมีเหตุกระแสไฟฟ้าขัดข้องรวม 2 ครั้งด้วยกัน … มันยังคงเป็นปริศนาอีกอย่างหนึ่งที่ทางเรายังไม่สามารถอธิบายได้ ทางเราไม่รู้ว่าเพราะอะไรจึงเกิดขึ้น เราเพียงพบว่ามันเกิดขึ้นเท่านั้น”
ในรายงานของ ATSB ฉบับนี้ คณะผู้สอบสวนยังได้พูดถึงความพยายามของ MH370 ที่จะขอ “จับมือ” ล็อกออนกับดาวเทียมอย่างลึกลับครั้งที่ 2 ซึ่งเกิดขึ้นในเวลาอีกเกือบ 6 ชั่วโมงหลังจากครั้งแรก โดยในคราวหลังนี้ คณะผู้สอบสวนคาดเดาว่า อาจจะมาจากเครื่องบินอยู่ในภาวะน้ำมันเชื้อเพลิงหมด และกระแสไฟฟ้าก็หมดไปก่อนที่เครื่องบินจะตกลงสู่บริเวณตอนใต้ของมหาสมุทรอินเดีย
นอกจากนี้ในวันศุกร์(27)ล่าสุด ทางออสเตรเลียได้ประกาศพื้นที่การค้นหารอบใหม่ที่ครอบคลุมพื้นที่ท้องมหาสมุทร60,000 ตารางกม. ที่ห่างจากฝั่งเพิร์ทของออสเตรเลียไปทางตะวันตกราว1,800 กม. โดยการเริ่มค้นหารอบใหม่จะมีขึ้นในเดือนสิงหาคม