เอเจนซีส์ - ทีมสอบสวนจากมาเลเซียของการหายไปเที่ยวบิน MH370 ของสายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์ส ได้ระบุว่ากัปตันเครื่องบินซาฮารี อะหมัด ชาห์ (Zaharie Ahmad Shah) เป็นผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่งหลังสามารถกู้แบบจำลองเส้นทางการฝึกหัดบินของชาห์ไปยังมหาสมุทรอินเดีย จากไฟลต์ซิมูเลเตอร์ที่พบในบ้านพักของเขา ในขณะที่ อีวาน วิลสัน และ กีออฟ เทย์เลอร์ จากนิวซีแลนด์ ได้สัมภาษณ์ภรรยาม่ายของชาห์ และได้รับคำยืนยันเป็นครั้งแรกว่า เสียงกล่าว “กู๊ดไนต์” ติดต่อกับหอบังคับการครั้งสุดท้ายเป็นเสียงของชาห์ กัปตันเครื่องบินโบอิ้ง 777
ในขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจมาเลเซียยังไม่ตัดประเด็นก่อการร้ายออกไปจากคดีการหายตัวอย่างลึกลับของ MH370 และจากการรายงานของ London’s Sunday Times สื่ออังกฤษที่แหล่งข่าวเจ้าหน้าที่ตำรวจมาเลเซียได้เปิดเผยว่า รูปคดีในขณะนี้ชี้ว่า ซาฮารี อะหมัด ชาห์ (Zaharie Ahmad Shah) วัย 53 ปี นักบินคนขับเป็นผู้ต้องสงสัย หลังจากพบว่าที่ภายในบ้านพักของเขามีแบบจำลองการบินที่ชาห์ใช้ฝึกบินเส้นทางการบินระยะไกลไปทางมหาสมุทรอินเดีย และการฝึกหัดบินลงรันเวย์ที่สั้นมากๆ บนเกาะ
โดยพบว่าแบบจำลองการบินนั้นถูกลบไปก่อนหน้านี้ ที่สันนิษฐานได้ว่าชาห์เป็นผู้ลบจากไฟลต์ซิมูเลเตอร์ในคอมพิวเตอร์ที่บ้านพักของเขา แต่ทางทีมสืบสวนมาเลย์สามารถกู้กลับคืนมาได้ นอกจากนี้ทางทีมสอบสวนระบุว่า ผู้โดยสารอื่นบนเครื่องบินลำสูญหายถูกตรวจสอบและพ้นจากข้อสงสัย ยกเว้นชาห์ นักบินคนขับ
ก่อนหน้านี้ ครอบครัวของชาห์ได้ปฏิเสธว่า ชาห์ วัย 53 ปี ไม่ประสบปัญหาส่วนตัวหรือความผิดปกติทางจิตแต่อย่างใด แต่ทว่าภรรยาของชาห์ที่คบหากันมาตั้งแต่ยังเด็กนั้นได้ย้ายออกไปจากบ้านของเขา
อย่างไรก็ตาม ตำรวจมาเลเซียยังไม่ได้เปิดแถลงข่าวการค้นพบหลักฐานใหม่ของคดี MH370 เพียงแต่แสดงความเห็นในฐานะแหล่งข่าวให้กับสื่อเท่านั้น
ด้านสื่อนิวซีแลนด์ stuff.co.nz รายงานเมื่อวานนี้ (23) ว่า กีออฟ เทย์เลอร์( geoff taylor ) และ อีวาน วิลสัน (Ewan Wilson) จากนิวซีแลนด์ได้สัมภาษณ์ภรรยาม่ายของชาห์เป็นครั้งแรก และได้ยืนยันว่า ชาห์ต้องเป็นผู้ควบคุมเครื่องบินโบอิ้ง 777 ในขณะที่บินจากกรุงกัวลาลัมเปอร์ไปกรุงปักกิ่งเมื่อวันที่ 8 มีนาคมอย่างแน่นอน
โดยทั้ง เทย์เลอร์ และ วิลสัน ระบุว่า การหายไปของเครื่องบินเที่ยวนี้ไม่ได้เกิดมาจากอุบัติเหตุอย่างแน่นอน เทย์เลอร์ ผู้ช่วยบรรณาธิการของ Waikato Times ที่สามารถเข้าถึงอาซูอัด ข่าน (Asuad Khan) พี่เขยของชาห์บนเกาะปีนัง และได้สัมภาษณ์ไฟซา (Faisa) ภรรยาม่ายของชาห์ทางโทรศัพท์
โดย ไฟซา ชาห์ ยืนยันว่า ชาห์เป็นผู้กล่าว “กู๊ดไนต์” คำลาสุดท้ายจาก MH370 ก่อนที่จะหายตัวไปอย่างเป็นปริศนา และ อะหมัด อิดริส (Ahmad Idris) บุตรชายคนโตสุดของทั้งคู่ได้ยืนยันเพิ่มเติมว่า เสียงกล่าว “กู๊ดไนต์” นั้นเป็นเสียงของชาห์ เพราะในขณะนี้ยังมีการโต้เถียงว่าระหว่างชาห์กัปตัน และ ฟาริค ฮามิด (Fariq Hamid) ใครกันแน่เป็นคนกล่าวคำนี้กับหอบังคับการภาคพื้นดิน 2 นาทีก่อนที่ทรานสปอนเดอร์ของเครื่องบินจะถูกปิดลง และตัดสัญญาณเรดาร์ที่สองกับหอควบคุมการบิน
วิลสันที่เป็นอดีตนักบินและเป็นอดีตผู้บริหารระดับสูงของบริษัทสายการบิน 2 แห่งที่มีคุณสมบัติในการสอบสวนความปลอดภัยทางคมนาคมทางอากาศได้จับมือร่วมกับเทย์เลอร์เดินทางไปยังมาเลเซียเพื่อค้นหาเงื่อนงำการหายไปของ MH370 โดยการออกสัมภาษณ์ทั้งเจ้าหน้าที่รัฐ สื่อ รวมไปถึงเพื่อนและครอบครัวของกัปตันเครื่องบิน MH370 และพบถึงเงื่อนงำที่น่าตกใจ โดยทั้งวิลสันและเทย์เลอร์มีแผนที่จะออกหนังสือ Good Night Malaysian 370 : The truth behind the loss of Flight 370 ที่จะออกวางจำหน่ายในรูปแบบอีบุ๊กของคินเดิลบนอเมซอนในวันที่ 30 กรกฎาคมที่จะถึงนี้
ในการให้สัมภาษณ์ร่วม 3 ชั่วโมง ข่านที่ในตอนแรกไม่เชื่อว่า คำพูดสุดท้ายจากห้องนักบินและหอบังคับการภาคพื้นดินนั้นไม่น่าจะเป็นของชาห์หรือฮามิดโดยฟังจากน้ำเสียงที่ทุ้มลึก ทำให้เขาได้ต่อสายโทรศัพท์ไปหาไฟซา ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่น่ายินดีสำหรับเทย์เลอร์และวิลสัน และจากคำยืนยันของภรรยาม่ายของชาห์ทางโทรศัพท์ ระบุว่าบุคคลที่กล่าว “กู๊ดไนต์” นั้นเป็นชาห์ สามีของเธอเอง
และ เทย์เลอร์ ยังเปิดเผยว่า ชาวมาเลย์ส่วนใหญ่ไม่คิดว่าการหายไปของ MH370 เป็นฝีมือของกัปตันเครื่องบิน “กัปตันเครื่องบินเป็นที่นับหน้าถือตามากที่นั่น และพวกเขาต่างปฎิเสธทุกสิ่งที่อาจมีความเชื่อมโยงไปถึงคนขับเครื่องบิน โดยมากคิดว่าจะเกิดจากเครื่องยนต์ขัดข้อง” เทย์เลอร์กล่าว
และเทย์เลอร์ได้กล่าวทิ้งท้ายว่า “เราทั้งคู่เดินทางไปมาเลเซียด้วยจิตใจที่เปิดกว้าง แต่จากหลายอย่างดูเป็นความคิดที่ติดกับขนบมากเกินไป เราต้องการค้นหาความจริงในเรื่องนี้ ซึ่งเราทั้งคู่ต่างสนใจในเสียงตอบรับในหนังสือของเราตั้งใจจะเปิดตัวในไม่ช้านี้”