รอยเตอร์ - การระบาดหนักของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์กลุ่มอาการโรคทางเดินหายใจตะวันออกกลาง (MERS) ยังคงเป็นปัญหาด้านสาธารณสุขที่น่าวิตกยิ่ง องค์การอนามัยโลก (WHO) แถลงวันนี้ (17) แต่การเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของผู้ติดเชื้อกำลังค่อยๆ ลดลงมาแล้ว และโรคนี้จะยังไม่ถูกประกาศให้เป็นภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศ
เชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์กลุ่มอาการโรคทางเดินหายใจตะวันออกกลาง (MERS) ทำให้เกิดอาการไอ ไข้ขึ้น และปอดอักเสบขั้นอันตรายถึงชีวิต และมีรายงานว่าขณะนี้มีผู้ป่วยแล้วมากกว่า 800 ราย ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในซาอุดีอาระเบีย ขณะเดียวกัน เชื้อมรณะชนิดนี้ยังแพร่จากซาอุดีอาระเบียเข้าสู่ประเทศเพื่อนบ้าน และมีบางกรณีที่แพร่ยุโรป เอเชีย และสหรัฐฯ ด้วยมีผู้เสียชีวิตจากเชื้อไวรัสนี้แล้วอย่างน้อย 315 รายทั่วโลก
ในถ้อยแถลงฉบับนี้ที่เผยแพร่หลังจากการประชุมครั้งที่ 6 ของคณะกรรมาธิการภาวะฉุกเฉินว่าด้วยเรื่อง MERS ขององค์การอนามัยโลก ระบุไว้ว่า การเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของผู้ติดเชื้อในซาอุดีอาระเบียเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ปัจจุบันได้ลดลงมาแล้วและจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่หลักฐานที่ชัดเจนว่ามันสามารถการติดต่อจากคนสู่คนภายในชุมชนต่างๆ
ถ้อยแถลงระบุต่อว่า “มีความพยายามอย่างยิ่งยวดในการเสริมสร้างมาตรการต่างๆ เพื่อป้องกันการติดเชื้อและควบคุมการแพร่ระบาด” ดังนั้น “คณะกรรมาธิการจึงได้ลงมติอย่างเป็นเอกฉันท์ว่าเงื่อนไขสำหรับการประกาศใช้ภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศ (PHEIC) ยังไม่ครบถ้วนในตอนนี้”
กฎเกณฑ์ด้านสาธารณสุขโลกกำหนดให้ PHEIC เป็นเหตุการณ์ที่ไม่ปกติ ซึ่งอยู่ในภาวะที่บรรดาชาติสมาชิกของ WHO ตกอยู่ในความเสี่ยงจากโรคที่แพร่ระบาดระหว่างประเทศ ซึ่งอาจต้องขอความร่วมมือจากนานาชาติเพื่อรับมือ
อย่างไรก็ตาม WHO ได้เน้นย้ำว่า สถานการณ์ของเชื้อไวรัส MERS ยังคงน่าเป็นกังวล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่มีการเดินทางแสวงบุญและร่วมพิธีอุมเราะห์ รอมฎอน และฮัจญ์ ในซาอุดีอาระเบีย โดย WHO ได้กำชับว่าในช่วงดังกล่าวจะต้องมีการยกระดับมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดให้รัดกุมยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ ผู้คนนับล้านจะเดินทางไปที่เมืองเมกกะในทุกๆปีเพื่อร่วมพิธีฮัจญ์ ซึ่งเป็นการแสวงบุญที่ชาวมุสลิมต้องเข้าร่วมอย่างน้อย 1 ครั้งในชีวิตของพวกเขา และถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง กำหนดการของเทศกาลศักดิ์สิทธิ์ในปี้นี้คือเดือนตุลาคม
