เอเอฟพี - สิงคโปร์วันนี้ (10 มิ.ย.) แถลงว่า ได้ยื่นฟ้องร้องดำเนินคดีกับบริษัทขนส่งสินค้าแห่งหนึ่ง ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ในนครรัฐแห่งนี้ ในข้อกล่าวหาให้ความช่วยเหลือในการขนขีปนาวุธและอาวุธยุทธภัณฑ์อื่นๆ จากคิวบาไปส่งยังเกาหลีเหนือ
กระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงมหาดไทยสิงคโปร์ระบุในการแถลงข่าวร่วมกันว่า ได้ยื่นฟ้องร้องดำเนินคดีกับบริษัท “ชินโป ชิปปิง” จำกัด และพลเมืองสิงคโปร์คนหนึ่งที่มีชื่อว่า ตัน ฮุ่ย ติน
คำแถลงระบุว่า บัดนี้ขั้นตอนการสืบสวนว่า บริษัทขนส่งสินค้าแห่งนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีอย่างไร ของกองตำรวจสิงคโปร์ได้เสร็จสิ้นลงแล้ว ซึ่งจะเป็นการเปิดทางให้อัยการแผ่นดินตั้งข้อหาต่อไป
เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา สิงคโปร์ได้รับแจ้งว่า บริษัทขนส่งสินค้าที่จดทะเบียนในสิงคโปร์เจ้าหนึ่ง มีส่วนพัวพันในการขนอาวุธจากคิวบาไปยังเกาหลีเหนือ จึงกระตุ้นให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเริ่มดำเนินการสืบสวน
การขนส่งสินค้าลับๆ ครั้งนี้ถูกตรวจพบบนเรือบรรทุกสินค้า “ชอง ชอน กัง” ของเกาหลีเหนือ ซึ่งถูกทางการปานามาสกัดจับและเข้าตรวจค้น ขณะพยายามแล่นผ่านคลองปานามา เมื่อเดือนกรกฎาคม ปี 2013 เนื่องจากต้องสงสัยว่าอาจลอบขนยาเสพติด
เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจตรวจพบอาวุธยุทโธปกรณ์ในตู้คอนเทนเนอร์ทั้งหมด 25 ใบ มีดังเช่น เครื่องบินขับไล่ความเร็วเหนือเสียง MiG-21 สัญชาติรัสเซีย 2 ลำ, ระบบป้องกันภัยทางอากาศ และขีปนาวุธ ตลอดจนยานพาหนะสั่งการและควบคุม ซุกซ่อนอยู่ใต้กระสอบน้ำตาลน้ำหนักหลายตัน
รายงานว่าด้วยวิธีการที่เกาหลีเหนือใช้หลบเลี่ยงมาตรการคว่ำบาตรขององค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ซึ่งถูกนำออกเผยแพร่เมื่อต้นปีที่ผ่านระบุว่า ชินโป ชิปปิง ได้ทำหน้าที่เป็นตัวแทนบริษัทเจ้าหนึ่ง ซึ่งมีฐานในกรุงเปียงยาง และเป็นผู้บริหารเรือลำที่ถูกสกัดจับ
รายงานฉบับนี้ระบุว่า สำนักงานของชินโป ชิปปิง ตั้งอยู่ “ที่เดียวกับ” สถานเอกอัครราชทูตเกาหลีเหนือประจำสิงคโปร์
ลูกจ้างคนหนึ่งบอกผู้สื่อข่าวเอเอฟพี ซึ่งเดินทางไปยังสำนักงานของชินโปในวันนี้ (10) ว่า บริเวณนั้นเคยเป็นที่ตั้งของสถานเอกอัครราชทูตเกาหลีเหนือมาก่อน แต่ไม่ระบุว่าย้ายไปตั้งแต่เมื่อไร
คำแถลงของสิงคโปร์ระบุว่า “สิงคโปร์ได้ปฏิบัติตามพันธกรณีระหว่างประเทศ เพื่อป้องกันไม่เกิดการแพร่กระจายของอาวุธทำลายล้างสูง และเพื่อสกัดกั้นช่องทางการขนส่งอาวุธ ตลอดจนวัสดุอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง”
“ในฐานะสมาชิกที่มีความรับผิดชอบของประชาคมนานาชาติ สิงคโปร์จะดำเนินการทางกฎหมายภายในประเทศอย่างเต็มที่ ตามมาตรการซึ่งกำหนดโดยมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ และจะเอาผิดกับบุคคล หรือบริษัทที่ไม่เคารพหลักการเหล่านี้”