เอเจนซีส์ – เมื่อวานนี้ (7 มิ.ย.) เกิดเหตุการณ์ความรุนแรงทั้งวันทั่วประเทศอิรัก ตั้งแต่คาร์บอมบ์ในกรุงแบกแดดถึง 7 ครั้ง และมีการปะทะหว่างกลุ่มก่อการร้ายที่โมซุล (Mosul) ทางตอนเหนือของประเทศ และในเวลาเดียวกันกลุ่มก่อการร้ายบุกมหาวิทยาลัยอิรักในรามาดี (Ramadi) จังหวัดอันบาร์ (Anbar) จับเจ้าหน้าที่มหาวิทยาลัยและนักศึกษาเป็นตัวประกัน ผลทำให้มีชาวอิรักจำนวนมากกว่า 100 คนเสียชีวิตภายในวันเดียวกันทั่วประเทศ ยังไม่มีผู้ประกาศความรับผิดชอบ
RT สื่อรัสเซียรายงานเมื่อวานนี้ (7) ว่า ในกรุงแบกแดด ก่อการร้ายส่วนใหญ่เกิดขึ้นที่บายา (Bayaa) ที่อยู่ทางตะวันตกของเมืองหลวงอิรัก มียอดผู้เสียชีวิตเฉพาะที่บายาราว 23 คน โดยส่วนมากเป็นเยาวชนที่อยู่ในระหว่างเล่นบิลเลียด โดยยอดรวมเสียชีวิตรวมในกรุงแบกแดด 60 คนจากคาร์บอมบ์จำนวน 7 ครั้งติดต่อกัน ที่คาร์บอมบ์ 6 ครั้งแรกเกิดขึ้นภายใน 1 ชั่วโมง และรอยเตอร์รายงานจากแหล่งข่าวโรงพยาบาลอิรักว่ามียอดผู้บาดเจ็บมากกว่า 110 คน
ขณะเดียวกัน ที่ทางเหนือของประเทศมีการปะทะกันระหว่างกลุ่มก่อการร้ายมุสลิมหัวรุนแรงและตำรวจท้องถิ่นที่เมืองโมซุล (Mosul) คร่าชีวิตตำรวจอิรักไป 21 คน และกลุ่มก่อกการร้ายมุสลิมหัวรุนแรงอีก 38 คนจากการต่อสู้ที่ต่อเนื่องเป็นวันที่ 2 โดยสรุปมียอดรวมผู้เสียชีวิตไปราว 59 คน เจ้าหน้าที่อิรักและพนักงานฌาปนสถานเผยกับเอเอฟพี
นอกจากนี้ในวันเสาร์ (7) กลุ่มก่อการร้ายติดอาวุธบุกเข้ามหาวิทยาลัยอิรักในรามาดี (Ramadi) จังหวัดอันบาร์ (Anbar) ที่อยู่ทางตะวันตกของประเทศ ได้จับกุมตัวพนักงานมหาวิทยาลัยชายและหญิงรวมไปถึงนักศึกษาชาวอิรักเป็นตัวประกัน โดยทางกลุ่มก่อการร้ายได้บุกเข้าไปมหาวิทยาลัยโดยฝ่าด่านหน่วยงานรักษาความปลอดภัยที่ทำให้มีผู้บาดเจ็บจำนวนหนึ่ง รวมไปถึงระเบิดสะพานทิ้งเพื่อตัดช่องทางคมนาคม
โดยเจ้าหน้าที่อิรักได้เปิดเผยว่า “ได้เข้าช่วยเหลือนักศึกษาชายและหญิงที่ถูกจับเป็นตัวประกันในหอพักในมหาวิทยาลัยอันบาร์ให้เป็นอิสระ” พร้อมทั้งยังสามารถกลับเข้าจุดตรวจความปลอดภัยในจุดทางเข้าไม่กี่ชั่วโมงที่ได้เข้าช่วงเหลือตัวประกัน” อัดนาน อัล อัสซาดี (Adnan Al Assadi) รองรัฐมนตรีมหาดไทยอิรักแถลงผ่านอีเมลกับเอเอฟพี และจากเหตุการณ์บุกมหาวิทยาลับอันบาร์มีผู้เสียชีวิต 2 ราย คือนักศึกษา 1 คน และเจ้าหน้าที่ตำรวจอิรัก 1 ราย แหล่งข่าวโรงพยาบาลอิรักเผย
นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยมหาวิทยาลัยอันบาร์เผยกับรอยเตอร์ว่า “ผมคิดว่ากลุ่มก่อการร้ายคงล่าถอยเพราะเป้าหมายพวกเขาไม่ใช่มหาวิทยาลัย พวกเขาเข้ามาอาศัยในฮิวมาอิรา (Humaira) และเรารู้แก่ใจดีว่ามันสำคัญกับกลุ่มก่อการร้ายมากเพียงใด... พวกกลุ่มติดอาวุธต้องการติดต่อกับกลุ่มมือปืนใน ฟัลลูจา (Falluja) ผมคิดว่าทางเจ้าหน้าที่อิรักคงตระหนักถึงข้อนั้นแล้ว”
อย่างไรก็ตาม การมีเป้าโจมตีมหาวิทยาลัยอาจถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่ในวิธีการก่อการร้าย “อาจจะเป็นการเปยี่ยนทางยุทวิธี” ดีปาค ตริปาที (Deepak Tripathi) ผู้เชี่ยวชาญด้านตะวันออกกลางเผยกับ RTและเสริมต่อว่า “เหมือนกับว่าเหตุการณ์ร้ายได้ยุติลงแล้ว นักศึกษาพวกนี้ที่ถูกช่วยเหลือกำลังจะทะยอยเดินออกมา และพวกเขาต้องเล่าถึงสิ่งได้พบเจอกับคนอื่น และนี่เป็นสัญญาณถึงยุทธวิธีก่อการร้ายที่ฉลาด”
นอกจากนี้ ตริปาทีเสริมต่อว่า “ผู้ก่อการร้ายในอิรักไม่กลัวตาย ดังนั้นพวกนี้ได้ใช้วิธีนี้โจมตีและยอมเสียชีวิตในระหว่างปฎิบัติการ และในความน่าจะเป็นทั้งหมดพวกก่อการร้ายจะทำเช่นนั้น พวกเขาได้ถอนตัวไปและสิ่งที่ตามมาได้เกิดขึ้นแล้ว”
มีคนเสียชีวิตไปแล้วอย่างน้อย 800 คนในความรุนแรงล่าสุดในเดือนที่ผ่านมาในอิรัก ที่ 2 ใน 3 ของเหยื่อผู้เสียชีวิตเป็นพลเรือน ในขณะที่ยอดผู้เสียชีวิตดูเหมือนตัวเลขยังต่ำกว่าที่ปรากฎในช่วงปี 2006-2007 ในปีที่ผ่านมาถือเป็นปีที่มีการสูญเสียมากที่สุดในอิรักนับตั้งแต่เกิดการก่อการร้ายขึ้นในปี 2008 โดยในปี 2013 มียอดผู้เสียชีวิคถึง 8,868 คน จากตัวเลขขององค์การสหประชาชาติ