เอเจนซีส์ – สื่อต่างชาติทั่วโลก เช่น หนังสือพิมพ์เดอะการ์เดียน รายงานว่า ข่าวแพร่ออกมาเมื่อวานนี้ (25 พ.ค.) ว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบกที่นำการรัฐประหารในสัปดาห์ที่ผ่านมาเป็นหัวหน้า คสช.ท่ามกลางการประท้วงต่อต้านรัฐประหารที่มีดีกรีเพิ่มขึ้น และการเรียกเหล่านักวิชาการ และนักเคลื่อนไหวทางการเมืองไปรายงานตัวเพิ่มขึ้น และ” พอล แชมเบอร์ส ประจำสถาบันกิจการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ร่วมกับมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ได้แสดงความวิตกว่า การที่คณะ คสช.เดินหน้าปฏิรูปจะทำให้เกิดสงครามกลางเมืองหลังจากที่โรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ทนายความทักษิณเผยว่า ฐานรัฐบาลพลัดถิ่นของทักษิณอาจอยู่ในกัมพูชา
ข่าวการโปรดเกล้าฯ ถูกนำเสนอในสื่อท้องถิ่นของไทยในวันเดียวกับที่คณะรัฐประหารได้ออกคำสั่งยุบวุฒิสภา ซึ่งถือเป็นสถาบันทางประชาสุดท้ายที่ยังหลงเหลืออยู่ และออกคำสั่งเรียกให้นักวิชาการและนักเคลื่อนไหวทางการเมืองไปรายงานตัว
และเป็นที่คาดการว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ขณะนี้ทรงประทับอยู่ที่พระตำหนักไกลกังวล จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จะทรงไม่เสด็จงานราชพิธีในเช้าวันนี้ (26) ที่กองบัญชาการกองทัพไทยในกรุงเทพฯ แต่พระองค์จะทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯแต่งตั้ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ขึ้นเป็นหัวหน้าคณะ คสช.และมีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว รวมไปถึงคณะนิติบัญญัติ และคณะปฏิรูป
ภายใต้การบริหารคสช.ได้มีความเคลื่อนไหวในแต่ละวันไม่ซ้ำกัน วันพฤหัสบดี (22) คสช.สั่งยุบสภาผู้แทนราษฏร และสั่งให้หยุดการใช้กฎหมายรัฐธรรมนูญชั่วคราว ซึ่งเป็นฉบับที่ พล.อ.ประยุทธ์ได้มีส่วนช่วยร่างในการปฏิวัติปี 2006 และในบ่ายวันเสาร์ (24) คสช.สั่งยุบวุฒิสภา และประกาศเป็นผู้ควบคุมอำนาจนิติบัญญัติของประเทศ และไม่กี่ชั่วโมงหลังจากนั้นออกคำสั่งเรียกนักวิชาการชื่อดังและนักเคลื่อนไหวทางการเมืองระดับชาติทั้งหมด 35 คนไปรายงานตัวกับกองทัพ และรวมไปถึงนักการเมืองจำนวน 155 คนที่ถูกเรียกไปสอบสวนก่อนหน้านี้
นอกจากนี้ ได้มีคำสั่งปลดผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และหัวหน้าแผนกสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ที่ถือเป็นเสมือนหน่วยงาน FBI ของไทย และในบ่ายวันอาทิตย์ (25) ได้มีคำสั่งเรียกตัวบบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ของไทย 18 ฉบับไปพบ รวมไปถึงข่าวสด บางกอกโพสต์ ASTV มติชน และไทยรัฐ อ้างอิงจากสื่ออนไลน์ประชาไท และสื่ออังกฤษยังตั้งคำถามต่อไปว่า ยังไม่เป็นที่ประจักษ์ว่ากลุ่มบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ที่ถูกเรียกตัวนั้นถูกกักตัวในสถานที่ไม่เปิดเผยเหมือนกับนักการเมืองอื่นๆ หรือไม่
นอกจากนี้ยังมีการเรียกตัวนายประวิตร โรจนพฤกษ์ คอลัมนิสต์ประจำหนังสือพิพม์ภาคภาษาอังกฤษ The Nation ให้เดินทางไปพบคณะ คสช. โดยประวิตรได้เปิดเผยเมื่อเช้าวาน (25) ว่าอยู่ในระหว่างการเดินทางไปตามหมายเรียกพบ โดยเขาได้ทวีตว่า “กำลังอยู่ในระหว่างการเดินทางไปพบเผด็จการคนใหม่ของไทย หวังว่าคงจะเป็นคนสุดท้าย” และปรากฏว่าประวิตรไม่ได้ถูกปล่อยตัวในเย็นวันนั้น
มีการกักตัวคนสำคัญทางการเมืองจำนวนมากกว่า 100 คนในค่ายทหารต่างๆ ไม่เปิดเผยสถานที่ถือเป็นมาตรการปรามการเคลื่อนไหวต่อต้านการยึดอำนาจของกองทัพ และใครที่ฝ่าฝืนไม่ไปรายงานตัวต้องขึ้นศาลทหาร รวมไปถึงจำคุก 2 ปี และปรับ
“สิ่งที่น่ากลัวที่สุดในเวลานี้คือดูเหมือนว่ากองทัพไทยเป็นเพียงสถาบันเดียวที่มีความเป็นหนึ่งเดียวกันมากที่สุดในสังคมไทย” พอล แชมเบอร์ส ประจำสถาบันกิจการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ร่วมกับมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ให้ความเห็น
มีรายงานว่าอดีตนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้ถูกกักตัวไว้ตั้งแต่วันพฤหัสบดี (22) แต่ได้ปล่อยตัวออกมาในวันเสาร์ (24)
ทั้งนี้ แหล่งข่าวกองทัพภายในคณะคสช.ได้เปิดเผยกับ CNN สื่อสหรัฐฯ ว่า “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรได้ถูกเรียตัวไปเพื่อให้ความร่วมมือในการรักษาความสงบและเรียบร้อยของประเทศ และถูกสั่งห้ามให้เข้าร่วมการเคลื่อนไหวทางการเมืองและการประท้วง” โดยกองทัพไทยประกาศยึดอำนาจเพื่อรักษาความสงบและเรียบร้อยของชาติเป็นสำคัญหลังจากที่มีความวุ่นวายทางการเมืองยาวนานถึงครึ่งปี และทำให้มีผู้เสียชีวิตไปถึง 28 คน และมีผู้บาดเจ็บอีก 700 คนในการประท้วงต่อต้านรัฐบาลของกลุ่ม กปปส.
ในวันอาทิตย์ (25) มีทหารออกลาดตระเวนในกรุงเทพฯ ชั้นใน โดยเน้นที่ย่านการค้า ราชประสงค์ และต่อไปยังอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิเพื่อสลายกลุ่มผู้ประท้วงต่อต้านรัฐประหารที่เริ่มมีเพิ่มขึ้นทุกที โดยผู้ประท้วงได้ตะโกนใส่ทหาร พร้อมชูป้ายเรียกร้องการเลือกตั้ง และให้คืนอำนาจประชาธิปไตยกลับคืนมา และมีการประท้วงต้านรัฐประหารเกิดขึ้นที่จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นฐานการเมืองของพรรครัฐบาลพรรคเพื่อไทย รวมไปถึงที่พัทยา และจังหวัดขอนแก่น โดยพวกผู้ประท้วงต้านรัฐประหารได้เดินขบวน ในขณะที่กลุ่มสนับสนุนคณะคสช.ได้ร่วมออกเดินพร้อมถือป้ายรณรงค์ “เรารักกองทัพ”
และพบว่ากลุ่มนักวิชาการที่ได้ถูกเรียกตัวส่วนใหญ่คัดค้านกฏหมายหมิ่นพระมหากษัตริย์ หรือมาตรา 112 ที่กำหนดว่าผู้ที่หมิ่นพระบรมราชานุภาพต้องถูกลงโทษจำคุกสูงสุดถึง 15 ปี โดยเหล่านักวิจารณ์อ้างว่า การมีมาตรานี้จะทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์ถอยหลัง
นอกจากนี้ คณะ คสช.ยังประกาศว่า คดีหมิ่นและคดีที่เกี่ยวข้องจะต้องขึ้นศาลทหารหลังจากนี้ ความพยายามที่จะปฎิรูปมาตรา 112 ได้รับการต่อต้านอย่างมากจากเหล่าประชาชนที่จงรักภักดี เอพีรายงานว่า พล.อ.ประยุทธ์ได้กล่าวกับเหล่านักวิจารณ์ว่า “หากพวกคุณเล่นแรง ทำให้พวกผมไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องสนองตอบไปด้วย”
เวลาเคอร์ฟิว 22.00 น.- 5.00น. ยังประกาศใช้ทั่วประเทศ รวมไปถึงสถานีโทรทัศน์และวิทยุ 14 แห่งยังถูกสั่งระงับการออกอากาศ มีบางเว็บไซต์ยังถูกปิด และสื่อต่างชาติ เช่น BBC และ CNN ยังไม่สามารถเผยแพร่ได้จากเคเบิลทีวีบางแห่ง
ท้ายที่สุดแชมเบอร์สได้แสดงความวิตกถึงการ คสช.เร่งปฎิรูปอย่างรวดเร็ว จะทำให้อนาคตเมืองไทยกลายสภาพเป็นรัฐที่ล้มเหลว “ผมเห็นถึงคนจะต้องถูกสั่งจำคุกจำนวนเพิ่มมากขึ้น อำนาจกองทัพเข้มแข็งขึ้น และผมเห็นว่าไทยกำลังเข้าสู่สงครามกลางเมืองหลังจากอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร ประกาศจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่น” แชมเบอร์สกล่าว จากการอ้างอิงของโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ทนายความของทักษิณที่เผยว่า รัฐบาลพลัดถิ่นอาจมีฐานอยู่ในกัมพูชา