เอเอฟพี – ประธานาธิบดี บารัค โอบามา แห่งสหรัฐฯ ประกาศแผนลดขั้นตอนที่ยุ่งยากสำหรับชาวต่างประเทศที่ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากรในสนามบินสหรัฐฯ โดยหวังดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้าอเมริกาให้ได้ถึงปีละ 100 ล้านคน ภายในปี 2020
โอบามา ซึ่งหันมาชูนโยบายโปรโมตการท่องเที่ยวเพื่อสร้างงานให้กับชาวอเมริกัน ชี้ว่าแผนนี้จะช่วยให้นักท่องเที่ยวเดินทางเข้าสหรัฐฯได้ง่ายขึ้น แต่ภารกิจดูแลความมั่นคงของประเทศจะไม่ย่อหย่อนลงไปอย่างแน่นอน
คิวที่ยาวเหยียดบริเวณด่านตรวจคนเข้าเมืองในสนามบิน จอห์น เอฟ. เคนเนดี นครนิวยอร์ก และสนามบินดัลลัสนอกกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. สร้างความเหนื่อยหน่ายใจไม่น้อยแก่นักเดินทางโดยเฉพาะในช่วงกลางวันซึ่งมีเที่ยวบินจากยุโรปและเอเชียมาลงจอดเป็นจำนวนมาก
นักท่องเที่ยวบางคนต้องรอนานถึง 1 ชั่วโมงกว่าจะผ่านเข้าประเทศได้
เมื่อวานนี้ (22) โอบามา ได้ประชุมร่วมกับเจ้าหน้าที่ด้านการท่องเที่ยว เพื่อหารือถึงวิธีการที่จะส่งเสริมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวสหรัฐฯให้เติบโตยิ่งกว่าที่เป็นอยู่
“ผมมีคำสั่งให้รัฐบาลประสานงานกับสนามบิน, สายการบิน, กลุ่มโรงแรม, รัฐ และเมืองต่างๆ เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีแก่นักท่องเที่ยว และลดเวลาในการรอผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง ซึ่งทั้งหมดนี้จะต้องไม่ทำให้ภารกิจรักษาความมั่นคงของประเทศย่อหย่อนลงไป” ผู้นำสหรัฐฯ เผย
โอบามา ชี้ว่า สนามบินฟอร์ทเวิร์ธ เมืองดัลลัส และสนามบินโอแฮร์ในนครชิคาโก สามารถลดเวลารอคิวตรวจคนเข้าเมืองให้เหลือเพียง 15 นาที สำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ
“พอลงจากเครื่องบิน คุณจะใช้เวลาแค่ 15 นาทีเพื่อผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองหากคุณเป็นชาวต่างชาติ ซึ่งนั่นเป็นการแก้ปัญหาได้มากทีเดียว” ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ชี้
“หากพวกเข้าไม่เสียเวลาที่สนามบินมาก ก็มีแนวโน้มที่จะอยากกลับมาเที่ยวอีก... เมื่อกลับไปบ้าน พวกเขาก็จะบอกเพื่อนฝูงว่า รู้หรือเปล่า? อเมริกาพร้อมที่จะต้อนรับเราเสมอ”
ขั้นตอนการตรวจสอบประวัติผู้เดินทางที่เข้มงวดยิ่งขึ้นหลังเกิดเหตุวินาศกรรม 11 กันยายน ปี 2001 ส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวที่รอคิวตรวจเอกสารการเดินทางในสนามบินสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นเป็นหลายเท่าตัว
ประธานาธิบดี โอบามา คาดหวังว่าสถิตินักท่องเที่ยวซึ่งเข้ามาเยือนสหรัฐฯสูงถึง 70 ล้านคนในปี 2013 จะเพิ่มเป็น 100 ล้านคนภายในต้นทศวรรษหน้า
ข้อมูลจากองค์การการท่องเที่ยวโลก (UNWTO) ซึ่งเป็นองค์การชำนาญพิเศษแห่งสหประชาชาติ ระบุว่า สหรัฐฯเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวมากที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากฝรั่งเศส ซึ่งผู้นำสหรัฐฯ ก็เล็งเห็นว่า หากอเมริกาสามารถก้าวสู่อันดับ 1 ได้ก็จะช่วยสร้างตำแหน่งงานอีกจำนวนมาก