รอยเตอร์/เอเจนซีส์/ASTV ผู้จัดการออนไลน์ - การเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภายุโรปได้เปิดฉากขึ้นแล้วในวันพฤหัสบดี (22 พ.ค.) โดยเริ่มจากสหราชอาณาจักรและเนเธอร์แลนด์ ขณะที่ผลสำรวจล่าสุดบ่งชี้ว่า บรรดาพรรคการเมืองของพวกขวาจัดและพรรคที่ชูนโยบายต่อต้านสหภาพยุโรป (อียู) ส่อเค้าจะเป็นฝ่ายได้รับชัยชนะ
ผลสำรวจความคิดเห็นล่าสุดที่มีการเผยแพร่โดยรอยเตอร์ระบุ การเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภายุโรปจำนวน 751 ที่นั่งครั้งนี้จะถือเป็นครั้งแรกในรอบหลายทศวรรษที่พรรคการเมืองแนวชาตินิยม กลุ่มการเมืองของพวกขวาจัด และพวกที่มีจุดยืนเป็นปฏิปักษ์ต่อสหภาพยุโรปจะเป็นฝ่ายได้รับชัยชนะอย่างสำคัญในการเลือกตั้งสมาชิกองค์กรนิติบัญญัติของอียู ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินบทบาทและนโยบายด้านต่างๆ ของอียูในอนาคตอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้
ผลสำรวจระบุว่า พรรคยูเค อินดีเพนเดนซ์ ปาร์ตี (UKIP) ซึ่งชูนโยบายเพิ่มความเข้มงวดในการรับคนเข้าเมืองและต้องการให้สหราชอาณาจักร ถอนตัวออกจากการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปจะเป็นฝ่ายได้รับชัยชนะเหนือ 2 พรรคการเมืองหลักของอังกฤษทั้งพรรคคอนเซอร์เวทีฟของนายกรัฐมนตรีเดวิด คาเมรอน และพรรคเลเบอร์
ขณะที่พรรคฟรีดอม ปาร์ตี แห่งเนเธอร์แลนด์ที่ชูนโยบายต่อต้านผู้อพยพ “ชาวมุสลิม” และต่อต้านอำนาจของอียู ถูกระบุว่าอาจได้รับคะแนนเสียงมากถึง 23 เปอร์เซ็นต์จากการโหวตของชาวเนเธอร์แลนด์ในวันพฤหัสบดี (22)
ทั้งนี้ การเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภายุโรปครั้งนี้ถูกจัดขึ้นในจังหวะเวลาที่ประเทศต่างๆในยุโรปกำลังดิ้นรนให้หลุดพ้นจากวิกฤตทางเศรษฐกิจและปัญหาหนี้สิน รวมถึงอัตราว่างงานที่ยังคงสูงลิ่ว ซึ่งล้วนเป็น “ปัจจัยเชิงลบ” ที่อาจส่งผลให้ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งจำนวน 380 ล้านคนใน 28 ประเทศสมาชิกอียู ตัดสินใจลงคะแนนให้กับผู้สมัครจากพรรคการเมืองฝ่ายขวา พวกชาตินิยม และพวกต่อต้านอียูมากขึ้น แทนการลงคะแนนให้กับพรรคการเมืองสายกลาง-ขวา และกลาง-ซ้ายอย่างที่ผ่านมา และอาจมีผลให้บรรดาพรรคการเมืองกระแสหลักดังกล่าวที่มีนโยบายหนุนสหภาพยุโรป อาจได้คะแนนเสียงรวมกันต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้
ในอีกด้านหนึ่งมีข้อมูลว่า การเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภายุโรปโดยตรงซึ่งจัดขึ้นครั้งแรกเมื่อปี 1979 ยังคงประสบปัญหาสำคัญจากการที่จำนวนผู้ออกมาใช้สิทธิ์มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยในการเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภายุโรปเมื่อปี 2009 นั้นมีผู้ออกมาใช้สิทธิ์เพียง 43 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ท่ามกลางผลสำรวจที่ว่าการเลือกตั้งในปีนี้อาจมีผู้ออกมาลงคะแนนต่ำกว่า 40 เปอร์เซ็นต์เป็นครั้งแรก และถือเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่า ประชาชนในอียูให้ความสำคัญกับปัญหาภายในประเทศของตัวเองมากกว่าความเป็นไปของสหภาพยุโรป
