เอเจนซีส์ - กลุ่มก่อการร้ายจำนวน 11 คนที่มีความเกี่ยวข้องกับเครือข่ายก่อการร้ายอัลกออิดะห์ถูกสอบปากคำในวันศุกร์ (2) ว่ามีส่วนในการหายไปของเที่ยวบิน MH370 หรือไม่ โดยผู้ก่อการร้ายทั้งหมดถูกจับในสัปดาห์ก่อนหน้านั้นจากปฏิบัติการในกรุงกัวลาลัมเปอร์ และรัฐเกดะห์ หลังจาก FBI สหรัฐฯ และ MI6 อังกฤษสงสัยว่าอาจมีกลุ่มก่อการร้ายเกี่ยวข้อง ด้านสายการบินมาเลเซีย แอร์ไลน์ส ยอมรับในคาร์โก้ของ MH370 ยังมีแบตเตอรีลิเทียมหนัก 200 กก.
สื่ออังกฤษ เดลิเมลรายงานเมื่อวานนี้ (3) ว่า ผู้ก่อการร้าย 11 คนที่ทางการมาเลย์จับได้ในกรุงกัวลาลัมเปอร์ และรัฐเกดะห์ในสัปดาห์ที่ผ่านมานั้น เป็นสมาชิกกลุ่มก่อการร้ายกลุ่มใหม่ที่มีความเชื่อมโยงกับเครือข่ายอัลกออิดะห์ และได้วางแผนโจมประเทศมุสลิม โดยกลุ่มก่อการร้ายนี้มีเครือข่ายในซีเรียและทางใต้ของฟิลิปปินส์ อ้างจากหนังสือพิมพ์สตาร์ สื่อมาเลเซีย ซึ่งทางเจ้าหน้าที่จับกุมตัวโดยใช้กฎหมายต่อต้านการก่อการร้ายมาเลเซีย Act 2012 (SOSMA) กล่าวหาว่าพวกเขามีส่วนพัวพันในแผนการโจมตีในสงครามกลางเมืองซีเรีย
การสอบสวนครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากหน่วยงานต่างๆ ที่รวมถึง FBI สหรัฐฯ และ MI6 อังกฤษ ร้องให้มีการสอบปากคำผู้ก่อการร้ายที่มีช่วงอายุระหว่าง 22-55 ปี รวมไปถึง นักเรียน บุคคลที่ประกอบอาชีพที่แปลกประหลาด ม่ายที่อายุยังน้อย และนักธุรกิจ เพื่อหาข้อมูล MH370 โดยมาเลย์เมลออนไลน์ระบุว่า หนึ่งใน 11 คนที่ถูกจับได้นั้นรวมไปถึงไซเดน อิซมาล (Saiden Ismail) นักศึกษาที่เป็นนักเคลื่อนไหวของกลุ่ม Solidariti Anak Muda Malaysia (SAMM)
นอกจากนี้ ทางเจ้าหน้าที่มาเลย์ยังเชื่อว่ากลุ่มทั้ง 11 คนนี้มีความเชื่อมโยงยาซิด ซูฟาต (Yazid Sufaat) ที่ก่อนหน้านี้ถูกคุมขังข้อหาก่อการร้าย “นี่มีความเชื่อมโยงอยู่” รัฐมนตรีมหาดไทยมาเลเซีย ซาฮิด ฮามิดี (Zahid Hamidi ) กล่าวในวันศุกร์ (2)
ด้านแหล่งข่าวจากหน่วยงานพิเศษต่อต้านการก่อการร้ายมาเลเซียได้เปิดเผยว่า เมื่อวานนี้ (2) หลังจากจับกุมตัวผู้ก่อการร้ายและนำไปสอบปากคำ ทำให้เชื่อได้มากขึ้นว่าการหายไปของเครื่องบินเป็นการก่อการร้าย
“เป็นไปได้สูงมากที่ MH370 เปลี่ยนเส้นทางการบินนั้นเป็นฝีมือผู้ก่อการร้าย และในการประเมินของหน่วยงานสอบสวนสากลต่างๆ เจ้าหน้าที่เหล่านั้นได้ร้องขอให้มาเลเซียรายงานเกี่ยวกับกลุ่มก่อการร้ายกลุ่มใหม่นี้อย่างละเอียด” แหล่งข่าวมาเลเซียกล่าว
และแหล่งข่าวมาเลย์ยังเสริมต่อว่า หลังจากสอบปากคำกลุ่มผู้ต้องสงสัยเป็นเวลาหลายชั่วโมง มีผู้ก่อการร้ายบางคนเปิดปากยอมรับว่า มีการวางแผนเพื่อก่อการร้ายในมาเลเซีย แต่ปฏิเสธถึงความเกี่ยวข้องในการหายไปของ MH370
และโยงไปถึงการไต่สวนของซูไลมาน อาบู กีธ (Sulaiman Abu Ghaith) ลูกเขยของอุซามะห์ บิน ลาดิน ซายิด บาดาต(Saajid Badat) ผู้ก่อการร้ายชาวอังกฤษจากเมืองกลอเซสเตอร์ อังกฤษ ได้ให้ข้อมูลว่า เขาได้รับการฝึกที่ค่ายก่อการร้ายในอัฟกานิสถาน และได้มอบรองเท้าที่มีระเบิดซ่อนแก่ชาวมาเลย์กลุ่มหนึ่ง
โดยบาดาตกล่าวว่า “ผมได้มอบรองเท้าให้กับชาวมาเลย์ และผมคิดว่ารองเท้าซ่อนระเบิดนี้ได้เล็ดลอดเข้าไปภายในห้องนักบิน”
บาดาตให้การผ่านวิดีโอลิงก์ในขณะที่เขาซ่อนตัวอยู่ในอังกฤษ โดยให้การกับศาลนิวยอร์กว่า แผนการระเบิดซ่อนในรองเท้าของชาวมาเลย์นั้นแท้จริงแล้วมีต้นคิดมาจาก คาลิด เชค โมฮัมหมัด (Khalid Sheikh Mohammed) ผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ 9/11
นอกจากนี้ในวันศุกร์ (2) ยังมีสิ่งที่น่าประหลาดใจเกี่ยวกับสินค้าขนส่งที่อยู่ในคาร์โก้ของ MH370 ที่ล่าสุดสายการบินมาเลเซีย แอร์ไลน์ส ได้ยอมรับว่า มีการขนส่งมังคุด 4.566 ตัน และแบตเตอรีลิเธียม อีก 200 กก.ในคาร์โก้ จึงเป็นคำถามว่าอีก 2.253 ตันที่อยู่ในคาร์โก้ของ MH370 นั้นสายการบินขนส่งสิ่งใด
ซึ่งทางโฆษกบริษัทการบินมาเลเซีย แอร์ไลน์ส ปฏิเสธที่จะตอบคำถามนี้ โดยให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์สตาร์ว่า “ไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลได้ เนื่องจากยังอยู่ในระหว่างการสอบสวน และหน่วยงานกฎหมายของบริษัทไม่ต่องการให้ข้อมูลในเรื่องนี้”
นอกจากนี้ทางโฆษกยังปฏิเสธที่จะให้รายชื่อบริษัทที่เป็นผู้ผลิตแบตเตอรี ทั้งนี้ระบุเพียงว่าสิ่งที่อยู่ในล็อตการขนส่งที่เหลือทั้งหมดล้วนเป็นอุปกรณ์วิทยุและชารจเจอร์
แถลงการณ์ของสายการบินออกมาว่า สินค้าที่เหลือถูกสำแดงว่าเป็น “อุปกรณ์วิทยุ” ถึงแม้ว่าจะไม่มีเอกสารยืนยันการขนส่งครั้งนี้ที่เปิดเผยเมื่อวันพฤหัสบดี (1)
ทั้งนี้ บริษัทสายการบินระบุเพียงว่า บริษัท NNR Global ส่ง 133 ชิ้น ซึ่งมีชิ้นหนึ่งมีน้ำหนัก 1.99 ตัน และอีก 67 ชิ้นที่รวมอยู่ในอีกชิ้นมีน้ำหนักรวม 463 กก. และมีน้ำหนักรวมของสินค้าทั้งหมดราว 2.453 ตัน
ข้อมูลจากหนังสือพิมพ์สตาร์ชี้ว่า บริษัท NNR Global ตั้งอยู่ที่โกดังขนส่งสินค้าทางอากาศห่างจากสนามบินนานาชาติปีนังไปไม่ถึง 100 หลา ซึ่งในขณะนี้มีตำรวจเฝ้าอยู่และมีเพียงนักข่าวเท่านั้นที่สามารถผ่านเข้าไปได้
โดยพบว่าทั้งแบตเตอรีลิเธียมและสินค้าอื่นๆ ที่ระบุว่าเป็นอุปกรณ์วิทยุนั้นมีปลายทางอยู่ที่กรุงปักกิ่ง ที่มีบริษัท JHJ International Transportation Co.Ltd แห่งกรุงปักกิ่งเป็นตัวแทนรับมอบปลายทาง