เอเจนซีส์- เมื่อวานนี้(2)อดีตประธานาธิบดียูเครน วิกเตอร์ ยานูโควิช ได้ให้สัมภาษณ์กับเอพีและสื่อรัสเซีย NTV ได้กล่าวเปิดใจถึงการผนวกไครเมียของรัสเซียว่า “เป็นหายนะ” และหากเป็นไปได้จะทำให้ไครเมียกลับไปเป็นส่วนหนึ่งของยูเครนอีกครั้ง พร้อมยืนยัน เมื่อครั้งอยู่ในอำนาจ ไม่เคยสั่งมือสไนเปอร์ให้เปิดฉากยิงผู้ประท้วงกลางกรุงเคียฟช่วงการปะทะ
โดยอดีตประธานาธิบดียูเครน วิกเตอร์ ยานูโควิช ได้หลบหนีออกจากยูเครนหลังจากมีผู้ประท้วงเสียชีวิตไปถึง 100 คน ในขณะที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงของนาโตยืนยันว่า กองทัพรัสเซียสามารถยืดยูเครนได้ภายใน 3- 5 วัน
ที่ผ่านมารัสเซียได้ส่งกองกำลังหลายหมื่นคนประจำพรมแดนตะวันออกของยูเครน สร้างความตื่นตระหนกให้เคียฟและชาติตะวันตก โดยนาบพลฟิลลิป บรีดเลิฟ ผู้บัญชาการระดับสูงของนาโตและผูบัญชาการกองกำลังหสรัฐฯในยุโรปเปิดเผยว่า ดูเหมือนทุกอย่างจัดเตรียมพร้อมเพื่อรอคำสั่งบุก รวมถึงยานหุ้มเกราะ เฮลิคอปเตอร์ อากาศยานรบ สรรพาวุธต่างๆ และกองกำลังสนับสนุนสำหรับปฎิบัติการ
แต่ที่ผ่านมา รัสเซียยืนกรานว่าไม่เคยคิดบุกยูเครน
ซึ่งในการให้สัมภาษณ์เมื่อวานนี้(2) ยานูโควิชที่ขณะนี้พำนักในรัสเซีย ที่สำนักข่าวอิตาร์-ทาซรายงานว่า ลูกชายของเขาได้ย้ายมาอยู่ในรัสเซียด้วย ได้เปิดเผยว่า จะพยายามเกลี้ยกล่อมให้ประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิมีร์ ปูติน คืนไครเมียให้ยูเครน ซึ่งเอพีเผยว่ายานูโควิชได้สนทนากับปูตินเพียงแค่ 2 ครั้งทางโทรศัพท์ โดยครั้งแรกในขณะที่เขาเดินทางมาถึงรัสเซีย และกล่าวว่า การคุยระหว่างเขาและปูตินนั้น “ลำบาก”
โดยยานูโควิชย้ำว่า “ไครเมียเป็นเหมือนฝันร้าย เป็นหายนะครั้งใหญ่ ต้องพยายามย้อนกับไปหาหนทางทำให้ไครเมียเป็นส่วนหนึ่งของยูเครนอีกครั้ง ซึ่งอาจจะอยู่ในเงื่อนไขว่าไครเมียเป็นเขตปกครองตนเองอิสระ...ที่ยังอยู่ภายใต้ยูเครน” และเขาล่าวว่า หากยังอยู่ในอำนาจ จะพยายามยับยั้งไม่ให้มีการลงประชามติเกิดขึ้น ซึ่งยานูโควิชถือว่า เป็นรูปแบบหนึ่งของการประท้วงต่อรัฐบาลรักษาการยูเครนที่สนับสนุนชาติตะวันตก และยานูโควิชเผยว่า “โดยส่วนตัวของผมแล้ว รับไม่ได้กับการที่ไครเมียโดนผนวกเข้ากับรัสเซีย” โดยยอมรับว่าการขอให้ปูตินส่งทหารเข้ามาช่วยที่ไครเมียเป็น “ความผิดพลาด”
และในช่วงการประท้วงขับไล่เขาช่วงเดือนมกราคม-เดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ที่มีผู้ประท้วงร่วมร้อยคนต้องจบชีวิต และพบว่ามีจำนวนหนึ่งเสียชีวิตจากการสังหารของกลุ่มมือปืนสไนเปอร์ลึกลับ โดยยานูโควิชให้สัมภาษณ์ยืนยันว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง
“ผมไม่เคยสั่งยิงผู้ประท้วง และจากเท่าที่รู้อาวุธปืนเหล่านั้นไม่เคยอนุญาตให้หน่วยพิเศษที่มีหน้าที่รักษาความสงบช่วงนั้นใช้ และพวกเจ้าหน้าที่เหล่านั้นต้องเชื่อฟังคำสั่ง ซึ่งผมเชื่อว่า ตามหลักการส่วนตัวแล้ว ผมคิดว่าไม่มีอำนาจใดมีค่ามากพอที่จะต้องทำให้เกิดเหตุการณ์สังหารหมู่”
อย่างไรก็ตาม อัลญะซีเราะฮ์ให้ข้อสังเกตถึงการให้สัมภาษณ์ของยานูโควิชว่า เป็นเสมือนต้องการหาเสียงสนับสนุนจากยูเครน ที่แม้แต่ผู้สนับสนุนในยูเครนต่างปฎิเสธเขา และอัลญะซีเราะฮ์ยังมองว่า เป็นการยากที่รัสเซียจะยอมคืนไครเมียให้ยูเครน แต่การให้สัมภาษณ์ของยานูโควิชเป็นเสมือนการสร้างภาพว่าปูตินพร้อมเปิดกว้างเจรจาในสถานะของไครเมียในอนาคต
นอกจากนี้บรีดเลิฟ ผู้บัญชาการระดับสูงของนาโต ได้ให้สัมภาษณ์กับรอยเตอร์และวอลสตรีทเจอร์นัลถึงสถานการณ์ด้านชายแดนตะวันออกของยูเครนว่า “น่าเป็นห่วงมาก” โดยบรีดเลิฟประเมินถึงกองกำลังรัสเซียที่ประจำอยู่ที่นั่นว่า “เป็นกองกำลังขนาดใหญ่ที่มีสมรถนะการรบสูงและมีความว่องไวมาก” และเสริมว่า “กองกำลังนี้พร้อมต่อคำสั่งบุก และสามารถบรรลุภาระกิจในการเข้ายึดได้