รอยเตอร์/ASTV ผู้จัดการออนไลน์ - รัฐบาลลิเบียเรียกร้องในวันพุธ (19) ให้องค์การสหประชาชาติ และประชาคมระหว่างประเทศช่วยต่อสู้กับภัยคุกคามของลัทธิก่อการร้าย หลังจากลิเบียซึ่งเป็นประเทศผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่แห่งแอฟริกาเหนือต้องกลายสภาพเป็นดินแดนที่ไร้เสถียรภาพมานานกว่า 3 ปี นับตั้งแต่การโค่นล้ม “ระบอบกัดดาฟี” เมื่อปี 2011
คำแถลงของรัฐบาลลิเบียมีขึ้นหลังเกิดคลื่นแห่งการโจมตี ทั้งเหตุระเบิดและการลอบสังหารอย่างต่อเนื่องในเมืองเบงกาซีทางภาคตะวันออกของประเทศ รวมถึงเหตุปะทะกันระหว่างกองกำลังฝ่ายรัฐบาล กับกลุ่มติดอาวุธของฝ่ายกบฏที่เมืองท่าส่งออกน้ำมันสำคัญ อย่างเมืองเซิร์ต ทางภาคกลางของประเทศ
เหตุรุนแรงรายวันได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของลิเบียไปแล้ว หลังจากรัฐบาลไม่สามารถควบคุมการเคลื่อนไหวของพวกกลุ่มติดอาวุธต่างๆ ที่เคยผนึกกำลังกันโค่นล้มระบอบการปกครองของมูอัมมาร์ กัดดาฟี เมื่อปี 2011 แต่ทว่ากลุ่มติดอาวุธเหล่านี้กลับปฏิเสธที่จะวางอาวุธ และหันมาแผ่ขยายอิทธิพลเพื่อแย่งชิงน้ำมันและอำนาจ แทนที่จะเข้าร่วมกับรัฐบาลที่กรุงตริโปลี
“เราต้องการความช่วยเหลือและสนับสนุนจากยูเอ็นและประชาคมโลก ในการทำสงครามเพื่อขุดรากถอนโคนการก่อการร้าย และเราต้องการความช่วยเหลือนี้โดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้” คำแถลงของรัฐบาลลิเบียระบุ
ก่อนหน้านี้เมื่อวันจันทร์ (17) เพิ่งเกิดเหตุโจมตีด้วยระเบิดคาร์บอมบ์ที่วิทยาลัยกองทัพบกในเมืองเบงกาซี เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตไปอย่างน้อย 8 ราย
ขณะเดียวกันมีรายงานว่า บรรดาที่ตั้งของโรงกลั่นน้ำมันและท่อส่งสายสำคัญๆ ในลิเบียเวลานี้ต่างตกอยู่ภายใต้การควบคุมของกลุ่มติดอาวุธอิสระต่างๆ ส่งผลให้รัฐบาลตริโปลีสูญเสียเงินรายได้มหาศาลจากการส่งออกน้ำมัน ที่ถือเป็นรายได้หลักของประเทศ
ทั้งนี้ เศรษฐกิจของลิเบียต้องพึ่งพารายได้จากการส่งออกน้ำมันที่มีสัดส่วนคิดเป็นกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพี และคิดเป็น 97 เปอร์เซ็นต์ของรายได้จากการส่งออกทั้งหมด โดยลิเบียถูกระบุว่า เป็นประเทศที่มีปริมาณน้ำมันสำรองใต้พื้นดินอยู่มากที่สุดในทวีปแอฟริกา