เอเจนซีส์ - ชาวบ้านเกาหลีใต้ออกตามล่าหา “ของที่ระลึกจากฟากฟ้า” ซึ่งมาพร้อมกับปรากฏการณ์ “ฝนดาวตก” เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว หลังมีข่าวลือว่าหินอุกกาบาตอาจขายได้เงินก้อนโต ขณะที่เจ้าหน้าที่รัฐบาลเกาหลีใต้เสนอให้เก็บรักษาหินอุกกาบาตที่พบเป็นสมบัติของชาติ
สื่อเกาหลีใต้รายงานว่า ชาวบ้านหลายร้อยคนนำเครื่องรับสัญญาณจีพีเอสและเครื่องตรวจโลหะออกไปสำรวจหาหินอุกกาบาตตามเนินเขาและนาข้าวใกล้ๆ กับเมืองจินจู จังหวัดกยองซังใต้ ซึ่งเป็นบริเวณที่เกิดฝนดาวตก เมื่อวันที่ 9 มีนาคมที่ผ่านมา
“ผู้คนต่างออกไปค้นหาหินอุกกาบาตกันเป็นการใหญ่ หลังมีข่าวลือว่าหินคอนไดรต์ (อุกกาบาตประเภทหนึ่ง) อาจขายได้เงินมาก” เจ้าหน้าที่จากสำนักงานมรดกทางวัฒนธรรมแห่งเกาหลี (CHAK) ให้สัมภาษณ์กับเอเอฟพี
บรรดาเกษตรกรซึ่งเป็นเจ้าของเรือนกระจกในพื้นที่ต่างนำป้าย “ห้ามบุกรุก” มาติดไว้ในที่ดินของตน หลังมีการพบหินอุกกาบาตก้อนแรกน้ำหนักราว 9 กิโลกรัมที่เรือนกระจกแห่งหนึ่งใกล้กับเมืองจินจู
หลังจากนั้นไม่นาน ก็มีชาวบ้านอีกคนไปพบหินอุกกาบาตก้อนที่ 2 ซึ่งหนักประมาณ 4 กิโลกรัม
นักวิทยาศาสตร์ยืนยันแล้วว่า หินทั้ง 2 ก้อนที่พบในช่วง 2 วันแรกหลังเกิดปรากฏการณ์ฝนดาวตก เป็นหินที่มาจากนอกโลกจริง
หนังสือพิมพ์จุงอังเดลี รายงานว่า นักล่าอุกกาบาตชาวอเมริกันคนหนึ่งได้เข้าไปแจกนามบัตรแก่ชาวบ้านในพื้นที่ พร้อมเสนอจะรับซื้อหินอุกกาบาตทุกก้อนที่พบ
อย่างไรก็ดี เจ้าหน้าที่ CHAK ระบุว่า ทางสำนักงานจะประกาศให้หินอุกกาบาตที่พบเป็น “มรดกทางวัฒนธรรม” เพื่อป้องกันการส่งออกนอกประเทศ ขณะที่นายกรัฐมนตรี ชุง ฮอง-วอน แห่งเกาหลีใต้ ก็เสนอให้รัฐบาลเก็บรักษาหินอุกกาบาตไว้เพื่อการศึกษาวิจัย หรือไม่ก็เป็น “อนุสาวรีย์ทางธรรมชาติ” (natural monument)
เกาหลีใต้เคยพบหินอุกกาบาตเป็นครั้งแรกในปี 1943 ทว่า ขณะนั้นคาบสมุทรเกาหลียังอยู่ภายใต้การควบคุมของจักรวรรดิญี่ปุ่น
การครอบครองหินอุกกาบาตยังถือเป็นประเด็นคลุมเครือ เนื่องจากกฎหมายพลเรือนเกาหลีใต้ไม่มีบทบัญญัติเกี่ยวกับเรื่องนี้
ฝนดาวตกเกิดจากการเผาไหม้ของหินหรือธารสะเก็ดดาวจากห้วงอวกาศขณะที่ผ่านเข้าสู่ชั้นบรรยากาศโลก ทำให้เห็นเป็นลูกไฟจำนวนมากพุ่งลงมาจากท้องฟ้า และเป็นปรากฏการณ์ที่หาชมได้ยาก
อุกกาบาตที่มีขนาดใหญ่และเผาไหม้ไม่หมดจะตกลงมายังพื้นโลก