เอเอฟพี – เกาหลีเหนือเริ่มมีความชำนาญในการหลบเลี่ยงคำสั่งคว่ำบาตรของนานาชาติได้อย่างแนบเนียนยิ่งขึ้นทุกวัน คณะผู้เชี่ยวชาญขององค์การสหประชาชาติแถลงในรายงาน วานนี้ (11)
รายงานซึ่งคณะผู้เชี่ยวชาญทั้ง 8 คน นำเสนอต่อคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ สรุปจากผลการตรวจสอบเป็นระยะๆ ตลอดจนสินค้าต้องห้ามที่ตรวจยึดได้
คณะมนตรีความมั่นคงยูเอ็นเรียกร้องให้นานาชาติเพิ่มความเข้มงวดในการสกัดกั้นสินค้าต้องห้ามที่นำเข้าและส่งออกจากเกาหลีเหนือ เพื่อบั่นทอนรายได้และความสามารถทางเทคโนโลยี ซึ่งอาจถูกนำไปใช้พัฒนาอาวุธทำลายล้างสูง หลังเกาหลีเหนือยังมุ่งมั่นทดลองระเบิดนิวเคลียร์และขีปนาวุธพิสัยไกลอย่างไม่หยุดยั้งตลอดระยะเวลา 1 ทศวรรษที่ผ่านมา
รายงานซึ่งเผยแพร่บนเว็บไซต์ยูเอ็นเมื่อวานนี้ (11) ชี้ว่า รัฐบาลโสมแดงยังฝ่าฝืนมติคว่ำบาตรของยูเอ็นอยู่เสมอ เดินหน้าโครงการพัฒนานิวเคลียร์และขีปนาวุธ ทั้งยังพัวพันการค้าอาวุธเถื่อนด้วย
“สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลียังเป็นปัญหาหนักอกสำหรับชาติสมาชิก” รายงานระบุ
“พวกเขาช่ำชองในการหลีกเลี่ยงมาตรการคว่ำบาตร จากหลายๆกรณีที่ทางคณะกรรมการได้วิเคราะห์ภายในช่วงเวลาที่ทำการศึกษาพบว่า เกาหลีเหนือนำเทคนิคกลโกงที่ซับซ้อนมาใช้เพิ่มขึ้นทุกวัน”
ผู้เชี่ยวชาญอ้างถึงกรณีเรือสินค้า ชอง ชอน กัง สัญชาติเกาหลีเหนือ ซึ่งถูกจับในปานามาว่าเป็นตัวอย่างที่ดีที่สะท้อนถึงกลยุทธ์ตบตาของเปียงยาง
เรือ ชอง ชอน กัง ถูกสกัดจับเมื่อเดือนกรกฎาคม ปี 2013 ขณะพยายามแล่นเข้าสู่คลองปานามา จากการตรวจสอบพบอาวุธที่ไม่ได้แจ้งจำนวนมากซุกซ่อนอยู่ใต้กระสอบน้ำตาลหนักกว่า 10,000 ตันซึ่งขนมาจากคิวบา
ผลตรวจสอบยังบ่งชี้ว่า ลูกเรือโสมแดงใช้ “โค้ดลับ” ในการสื่อสาร แจ้งข้อมูลการเดินทางที่เป็นเท็จ และยังปิดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์บนเรือเพื่อไม่ให้เจ้าหน้าที่ควบคุมการสัญจรทางทะเลทราบพิกัดของเรือตามวันเวลาที่ถูกต้อง
สถานทูตเกาหลีเหนือในคิวบาและสิงคโปร์ยังต้องสงสัยว่าอาจมีส่วนรู้เห็นกับการขนส่งสินค้าผิดกฎหมายเหล่านี้
ทางการคิวบาออกมาอ้างว่า อาวุธเหล่านั้นเป็น “ของล้าสมัย” ที่ผลิตในยุคสหภาพโซเวียต และกำลังจะส่งไปซ่อมแซมในเกาหลีเหนือ
อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์นี้นับเป็นหลักฐานยืนยันได้ว่า รายได้ส่วนใหญ่ของรัฐบาลเกาหลีเหนือมาจากการ “ส่งออกอาวุธ” ตลอดจนการให้บริการผลิตและซ่อมแซมอาวุธซึ่งผลิตในสหภาพโซเวียตเมื่อทศวรรษ 1960-70