เอเจนซีส์ /เอเอฟพี - จากการยืนยันของอิตาลีและออสเตรียเกี่ยวกับพลเมือง 2 คนของทั้ง 2 ประเทศที่ถูกขโมยหนังสือเดินทางในไทย ที่มีรายชื่อเป็นผู้โดยสารบนเที่ยวบิน MH370 ของสายการบินมาเลเซีย แอร์ไลน์ส ซึ่งมีผู้โดยสาร 239 คนบนเครื่อง ที่หายไปนอกชายฝั่งเวียดนามระหว่างเส้นทางบินจากกรุงกัวลาลัมเปอร์ในมาเลเซีย มุ่งหน้าสู่กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน อาจมีความเป็นไปได้ว่าจะเชื่อมโยงกับการก่อการร้าย และขณะนี้ทางการมาเลเซียได้ข้อมูลของผู้โดยสาร 2 คนที่แอบใช้หนังสือเดินทางปลอมขึ้นเครื่อง รวมทั้งอีก 2 คน ซึ่งคาดว่าคนทั้งหมดจะเกี่ยวข้องกับ “ก่อการร้าย” กระทรวงคมนาคมมาเลเซียกล่าวในวันอาทิตย์ (9)
ฮิชามุดดิน ฮุสเซน (Hishammuddin Hussein) รัฐมนตรีกระทรวงคมนาคมมาเลเซีย ได้แถลงว่า หน่วยงานความมั่นคงมาเลเซียกำลังสอบสวนหลังพบว่า ผู้โดยสาร 2 รายบนเที่ยวบินมรณะอาจใช้หนังสือเดินทางปลอม ทำให้เพิ่มความเป็นไปได้ที่เหตุการณ์นี้อาจเกิดจากฝีมือผู้ก่อการร้าย
“ในขณะนี้หน่วยงานข่าวกรองของมาเลเซียได้ออกหาข่าว และรวมไปถึงหน่วยงานต่อต้านการก่อการร้ายจากทั่วทุกประเทศที่เกี่ยวข้องได้รับการร้องขอด้วย” ฮุสเซนกล่าววันนี้ (9)
และในขณะนี้มาเลเซียกำลังตรวจสอบรายชื่อ 4 คน ที่คาดว่าอาจจะเกี่ยวข้องกับก่อการร้าย โดยข้อมูลของคนทั้ง 4 อยู่ในมือทางการมาเลเซียเรียบร้อยแล้ว รวมไปถึง 2 ใน 4 เป็นผู้โดยสารที่ใช้หนังสือเดินทางปลอม แต่ฮุสเซนปฏิเสธที่จะเปิดเผยในรายละเอียด เนื่องจากอยู่ในระหว่างการสอบสวน แต่กล่าวว่ามีความเป็นไปได้ว่าระบบรักษาความปลอดภัยรั่ว หรืออาจเกิดเหตุจี้เครื่องบินได้
นอกจากนี้ CNN พบว่า ดูเหมือนเจ้าหน้าที่มาเลเซียไม่ได้เช็กข้อมูลพาสปอร์ตที่ถูกขโมยจากฐานข้อมูลหน่วนงานตำรวจสากล และหลังจากที่สายการบิน มาเลเซีย แอร์ไลน์ส ได้เปิดเผยรายชื่อผู้โดยสารทั้งหมด 239 คนบนเครื่อง ออสเตรียได้ปฏิเสธว่า พลเมืองของออสเตรียไม่ได้อยู่บนเครื่อง โดยแถลงว่าพลเมืองประเทศตนนั้นปลอดภัย และพาสปอร์ตของเขาถูกขโมยไปเมื่อ 2 ปีที่แล้ว มาร์ติน ไวสส์ โฆษกกระทรวงต่างประเทศออสเตรียแถลง
และสอดคล้องกับอิตาลี ที่กระทรวงต่างประเทศอิตาลี ได้ยืนยันว่า ไม่มีพลเมืองอิตาลีบนเที่ยวบิน MH370 ถึงแม้จะมีรายชื่อชาวอิตาลีอยู่บนเครื่องบินที่สูญหาย โดยเจ้าหน้าที่มาเลเซีย เผยว่า พวกเขาตระหนักถึงรายงานที่ชี้ว่า หนังสือเดินทางของนักท่องเที่ยวอิตาลีนั้นก็ถูกขโมยเช่นกัน แต่ยังไม่มีการยืนยันอย่างเป็นทางการก่อนหน้านั้น
เมื่อวานนี้ (8) ตำรวจอิตาลีได้เดินทางไปบ้านของบิดามารดาของ ลุยจิ มารัลดี วัย 37 ที่มีชื่อเป็นผู้โดยสารบนเที่ยวบินที่ตกลงนอกชายฝั่งเวียดนาม เพื่อแจ้งถึงเที่ยวบินที่สูญหาย ตำรวจซีเซนาในอิตาลีเผย แต่ วาลเตอร์ บิดาของ ลุยจิ มารัลดี ได้เปิดเผยกับตำรวจว่า เขาเพิ่งได้คุยกับลูกชาย และยืนยันว่าบุตรชายไม่ได้อยู่บนเครื่อง และลุยจิปลอดภัยดี นอกจากนี้บิดาของลุยจิ มารัลดี ยังกล่าวว่า มารัลดีได้โทรศัพท์มาจากประเทศไทยที่เขากำลังท่องเที่ยวอยู่ในขณะนี้ และเจ้าหน้าที่ตำรวจซีเซนาได้เปิดเผยว่า มารัลดีได้แจ้งหนังสือเดินทางถูกขโมยในมาเลเซียเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา และเขาได้รับหนังสือเดินทางเล่มใหม่เรียบร้อยแล้ว
แต่ทว่าแหล่งข่าวเจ้าหน้าที่สหรัฐฯได้เปิดเผยกับ CNN กลับให้ข้อมูลว่า พาสปอร์ต 2 เล่มนั้นถูกขโมยในภูเก็ต ทางภาคใต้ของไทย ซึ่งตรงกับรอยเตอร์ที่รายงานว่า มารดาของ ลุยจิ มารัลดี เปิดเผยว่า พาสปอร์ตของลูกชายถูกขโมย โดยมารัลดีได้ฝากหนังสือเดินทางไว้กับบริษัทเช่ารถที่ภูเกตและเมื่อกลับมาเขาพบว่าหนังสือเดินทางได้หายไปในขณะที่เดินทางท่องเที่ยวที่ทางภาคใต้ของไทยเมื่อ 1 ปีครึ่งที่ผ่านมา
ซึ่งการขโมยพาสปอร์ตส่งสัญญาณถึงความเป็นไปได้ว่า อาจจะเชื่อมโยงกับการก่อการร้าย และได้เปิดเผยต่อไปว่า ทางสหรัฐฯได้ตรวจสอบฐานข้อมูลกับเจ้าของพาสปอร์ตที่ถูกขโมยแล้ว ไม่พบว่าพวกเขามีส่วนเกี่ยวข้องอันใด
ในขณะนี้หน่วยงาน FBI เตรียมพร้อมที่จะเดินทางเข้ามาเลเซียแล้ว หากมีการร้องขอจากรัฐบาลมาเลเซีย แต่ในขณะนี้ยังไม่มีหน่วยงานใดส่งออกไป แหล่งข่าวสหรัฐฯเปิดเผยต่อเมื่อวานนี้ (8) อย่างไรก็ตาม สหรัฐฯยังไม่ตัดประเด็น “ก่อการร้าย” หรืออื่นใด ในสาเหตุที่ทำให้เที่ยวบินนี้หายไป และพบว่าในเช้าเมื่อวานนี้ (8) เจ้าหน้าที่ FBI ได้มุ่งหน้าไปเพื่อช่วยเหลือสอบสวนการสูญหายของเที่ยวบิน
และทอม ฟูเอนเทส อดีตผู้ช่วยอำนวยการ FBI และปัจุบันนักวิเคราะห์ของ CNN ได้เปิดเผยว่า แหล่งข่าวจากอินเตอร์โพลชี้ว่า มีรายงานแจ้งการสูญหายของหนังสือเดินทางชาวออสเตรีย แต่ไม่พบการแจ้งสูญหายของหนังสือเดินทางชาวอิตาลี และเป็นที่แน่ชัดว่าเจ้าหน้าที่มาเลเซียไม่ได้เช็กดาต้าเบสพาสปอร์ตสูญหายของอินเตอร์โพล แหล่งข่าวเผยกับ ฟูเอนเทส
นอกจากนี้ ฟูเอนเทส กล่าวว่า “เป็นคำถามว่าใครเป็นคนใช้พาสปอร์ต ใช้เพื่อจุดประสงค์ใด พวกเขาใช้พาสปอร์ตปลอมในการเช็กกระเป๋าเดินทางที่ตรงกับตั่วโดยสายเครื่องบิน และบางทีกระเป๋าพวกนั้นอาจมีระเบิดอยู่ในนั้น” นอกจากนี้ฟูเอนเทสยังกล่าวเสริมว่า “สหรัฐฯเช็กหนังสือเดินทางกับดาต้าเบสพาสปอร์ตหายของอินเตอร์โพลอย่างสม่ำเสมอ”