xs
xsm
sm
md
lg

Focus:“ไทยและทักษิณ” ข้อผิดพลาดที่สื่อชาติตะวันตกไม่ยอมพูดถึงจากวิกฤตการประท้วงกปปส.

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เอเจนซีส์ - ไมเคิล เพิรส์ช (Micheal Pirsch) แห่งสื่อทางเลือกอิสระ “Truth Out” ได้เขียนบทความวิเคราะห์ตีแผ่สิ่งที่สื่อยักษ์ใหญ่ทุนนิยมจากโลกตะวันตก เช่นหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์ของสหรัฐฯ หรือ บีบีซีของอังกฤษ รวมไปถึงสื่ออิสระนิยมซ้ายบนโลกอินเตอร์เนต เช่น CounterPunch หรือที่มองความขัดแย้งของไทยในแง่เดียว และเลือกที่จะไม่กล่าวถึงข้อเท็จจริงที่ปรากฏอยู่เกี่ยวกับทักษิณ ชินวัตร ความฉ้อฉลของเขาและครอบครัวในไทย รวมไปถึงความข้องเกี่ยวในโลกตะวันตกในทั้งฝ่ายนีโอคอน(หัวอนุรักษ์นิยมยุคใหม่)และฝ่ายนีโอลิเบอร์รัล(หัวก้าวหน้ายุคใหม่)

ไมเคิล เพิรส์ช (Micheal Pirsch) เป็นนักเขียนชาวอเมริกันในสื่อทางเลือกอิสระ “Truth Out” เขาเป็นทั้งนักเคลื่อนไหวสิทธิผู้ใช้แรงงานในสหรัฐฯมากว่า 25 ปี และเป็นนักจัดรายการคลื่นวิทยุใต้ดิน “Berkeley Liberation Radion” และในขณะนี้เพิรส์ชพำนักอยู่ในประเทศไทย

การมองที่ผิดพลาดของสื่อตะวันตก รวมไปถึง สื่อทางเลือกบนโลกอินเตอร์เนต ถึงเหตุการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองในไทยจนทำให้เกิดการประท้วงที่ยืดเยื้อมาเกือบ 4 เดือนของกลุ่มกปปส.ซึ่งการมองปัญหาแบบผิวเผินที่เห็นภาพเพียง “กลุ่มผู้มีอันจะกินในเมืองหลวง” กำลังขัดแยงกับ “กลุ่มผู้ยากไร้ในต่างจังหวัด” และคนชนชั้นกลางในกรุงเทพฯพยายามอย่างเต็มกำลังในการขัดขวางประชาธิปไตย ซึ่งผู้ประประท้วงกลุ่มผู้ประท้วงกปปส.นั้นถูกมองว่าเป็น พวกนิยมเจ้าอย่างสุดโต่ง ฝักใฝ่ในกองทัพ และมีเกษตรกรจากภาคใต้ที่ยากไร้เป็นฉากหน้าประกอบเท่านั้น ในขณะที่กลุ่มผู้สนับสนุนรัฐบาลนอมินีของ ทักษิณ ชินวัตร นั้นเป็นชาวนาที่ยากจนข้นแค้นในแถบภาคเหนือและภาตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ ที่แสดงให้เห็นภาพว่า พวกเขาเหล่านั้นถูกยกระดับฐานะมาจากความยากจนได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทักษิณเข้ารับตำแหน่งเป็นผู้นำของประเทศ และเริ่มนโยบายประชานิยมที่โด่งดังทั้งหลาย ซึ่งโครงการประชานิยมเหล่านี้ยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่องภายใต้รัฐบาลนอมินีของทักษิณทุกชุดในปี 2007, 2008 และ 20011แต่สื่อโลกตะวันตกน้อยมากที่จะพูดถึง “อภิมหาโคตรโกง” ที่ทักษิณและครอบครัวทำไว้

นอกจากนี้สื่อตะวันตกยังละเลยที่จะย้ำให้เห็นภาพของฆาตกรรมสังหารหมู่ผู้บริสุทธิจำนวนมากกว่า 2,800 คน ในช่วง 3เดือนของโครงการปราบปรามยาเสพติดในสมัยรัฐบาลของเขา อีกทั้งยังไม่กล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงนโยบายความมั่นคงของประเทศครั้งใหญ่ที่สุดในภาคใต้ที่มีชาวไทยมุสลิมเชื้อสายมาเลย์ที่พูดภาษายาวีเป็นหลัก และทำให้จากภาคใต้ที่เคยสงบสุขที่มีกองทัพภาคที่4คอยดูแลมาจนถึงปี 2004 อดีตนายกของไทยผู้นี้ได้สั่งการมอบให้ตำรวจทำหน้าที่ดูแลแทนและโยกย้ายกองทัพออกไปให้พ้นจากความรับผิดชอบ และผลจากการเปลี่ยนแปลงทางครั้งใหญ่นี้ทำให้มีผู้บริสุทธิต้องเสียชีวิตจำนวนมากกว่า 10,000 คนตั้งแต่ปี 2004 จนถึงปัจจุบัน ซึ่งยังรวมไปถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารอีก 900 คนที่เสียชีวิตจากการปฎิบัติหน้าที่ และที่สำคัญสื่อชาติตะวันตกได้มองข้ามเหตุการณ์สะเทือนขวัญ “สังหารหมู่ที่ตากไบ” ที่ชาวบ้านจำนวนมากกว่า 89 คนที่ถูกจับกุมต้องเสียชีวิตเพราะถูกทับซ้อนกันจนขาดอากาศหายใจและเสียชีวิต แต่ทักษิณอ้างว่าชาวบ้านที่เสียชีวิตในเหตุการณ์ตากไปเป็นเพราะพวกเขาอยู่ในช่วงการถือศีลอดจึงทำให้มีร่างกายอ่อนแอ หรือการใช้กำลังทหารรวมถึงอาวุธหนัก เช่น รถถังเข้าถล่มมัสยิดกรือเซะที่จ.ปัตตานี

ชาวต่างประเทศที่อยู่ในโลกตะวันตกกำลังถูกสื่อของพวกเขาเองโกหกครั้งแล้วครั้งเล่า และซ้ำยังถูกปิดบังข้อมูลซ้ำไปซ้ำมาและเหตุผลหลักในการลุกขึ้นสู้ของกลุ่มกปปส.กลับลดเหลือเพียงแค่ “แบ่งแยกชนชั้นนำในเมืองหลวงออกจากชาวนาที่ยากไร้ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ” ทั้งๆที่คนไทยทุกกลุ่มและทุกชนชั้นต่างเอือมระอากับอำนาจนิยมของทักษิณที่ถูกซ่อนภายใต้หน้ากาก “ประชาธิปไตย” จะมีใครสามารถให้คำนิยามได้กับรัฐบาลประเทศที่มีประชากรราว 60ล้านคนและมีการเติบโตทางเศรษฐกิจเป็นลำดับที่ 2 ของภูมิภาคนี้ถูกบริหาร “อย่างเปิดเผย” โดยนักโทษหนีคดีที่เป็นอดีตนายกรัฐมนตรีซึ่งอาศัยอยู่ในต่างแดน ซึ่งฝ่ายสนับสนุนของรัฐบาลพรรคเพื่อไทยต่างอ้างชัยชนะการเลือกตั้งในปี2011ซึ่งนำมาสู่ความชอบธรรมในการบริหารประเทศ แต่ความจริงแล้วพรรคเพื่อไทยของทักษิณนั้นชนะการเลือกตั้งเพียง 47.8% ของคะแนนเสียงทั้งหมด ซึ่งไม่ใช่เสียงส่วนใหญ่อย่างที่กล่าวอ้าง และจากความจริงที่ทักษิณได้โอ้อวดไว้ในแคมเปญจ์เลือกตั้งหาเสียงในปี 2011ที่กล่าวว่า “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ” แต่กระนั้นในวันเลือกตั้ง ทักษิณกลับไม่เคยปรากฎตัวในคูหาลงคะแนน และไม่ได้รับคะแนนเสียงสนับสนุนจากการหย่อนบัตรเลือกตั้ง แต่พรรคนอมินีของเขาได้รับชัยชนะ 47.8%แทน

และสิ่งนี้จะเป็นที่ยอมรับได้ในการเมืองสหรัฐฯหรือการเมืองยุโรปอย่างนั้นหรือ? สหรัฐฯจะยอมรับได้หรือไม่ที่ประเทศมหาอำนาจต้นแบบประชาธิปไตยอย่างอเมริกาจะถูกบริหารโดยอดีตประธานาธิบดีที่เป็นนักโทษหลบหนีคดีอยู่ในดูไบ? จะเป็นไปได้หรือที่การเลือกตั้งจะสามารถลบล้างคดีความผิดได้ทั้งหมด?

แต่จากข้อเขียนของ Andre Vtlchek ในสื่อทางเลือกอิสระ CounterPunch นั้นเป็นบทความที่แย่มากที่สุดเท่าที่เคยปรากฏมา Vtlchek เป็นนักแต่งนวนิยาย ผู้สร้างภาพยนต์ และนักข่าวสืบสวน ซึ่งผลงานล่าสุดของเขาได้รับการชื่นชมจากนักวิชาการชื่อดัง และผู้มีชื่อเสียงระดับโลก เช่น โนม ชอมสกี ไมเคิล ปาเรนติ และคนอื่นๆ แต่จากบทความของเขา “Down and Out in Thailand : Elites F**** Up Bangkok” ทำให้ต้องสงสัยถึงความถูกต้องของข้อมูลที่ Vtlchek มี

ในวันที่ 29 มกราคม 2014 สื่อทางเลือกออนไลน์ Counterpunch.org ได้ตีพิมพ์บทความของ Andre Vtlchekภายใต้หัวข้อ “Down and Out in Thailand : Elites F**** Up Bangkok” และในวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2014 Counterpunch.org ได้ลงบทความของVtlchek อีกครั้งที่ชื่อว่า “How the West Manufactures Opposition Movements”

ซึ่งในบทความ “Down and Out in Thailand : Elites F**** Up Bangkok” นั้น Vtlchek ได้ชักจูงด้วยข้อมูลที่บิดเบือนอย่างจงใจ รวมไปถึงความจริงเพียงครึ่งเดียว และการปกปิดข้อมูลสำคัญอย่างร้ายแรง ในขณะที่บทความชิ้นที่สอง “How the West Manufactures Opposition Movements” นั้นได้เปรียบเทียบไทยกับซีเรีย ยูเครน อียิปต์ จีน เวเนซุเอลา โบลิเวีย บราซิล ซิมบับเว และประเทศอื่น ในตัวอย่างที่ Vtlchek พยายามจะวาดภาพมองให้เห็นถึงเหล่าประเทศที่รัฐบาลสหรัฐฯได้สร้างฝ่ายต่อต้านขึ้นมาเพื่อโค่นล้มรัฐบาลท้องถิ่นของชาตินั้นๆ และสนับสนุนมีรัฐบาลใหม่ที่พร้อมจะให้ผลประโยชน์กับสหรัฐฯ ซึ่งจากข้อเขียนทั้งสองชิ้นนั้นมีเนื้อหาสื่อถึงโฆษณาชวนเชื่อทางการเมืองที่คาดว่าจะมาจากโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ที่ทำงานเป็นกระบอกเสียงให้กับทักษิณคอยส่งข้อมูลที่ผิดไปออกทั่วโลก ซึ่งก่อนหน้านั้นทักษิณได้ใช้บริการเหล่านักล็อบบี้ยิสต์ชั้นนำในโลกตะวันตกที่ทำหน้าที่เป็นทั้งพีอาร์และล็อบบี้ให้กับลูกค้าอัครมหาเศรษฐีทั้งหลาย เช่น ได้เคยใช้บริการของ เจมส์ เบเกอร์ จากบริษัทเบเกอร์บอตต์ส( สภาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ CFR คือองค์กรที่พวกยิวไซออนิสต์ก่อตั้งขึ้น เป็นขบวนการที่มีผู้ทรงอิทธิพลในแต่ละสาชาอาชีพด้านการเงิน การค้า การเมือง รวมตัวกันด้วยเป้าหมายที่ต้องการเป็น"ศูนย์กลางอำนาจบังคับบัญชาโลก", อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ และอดีตหัวหน้าคณะทำงานของประธานาธิบดีสหรัฐฯ) บริษัทพีอาร์ของเคนเน็ธ เอเดลแมน และโรเบิร์ต แบล็ควิลล์ ของบริษัทบาร์บูร์ กริฟฟิธ แอนด์ โรเจอร์ส

ซึ่งคอนเนกชันของทักษิณในโลกตะวันตกกับทั้งฝ่ายหัวอนุรักษ์สมัยใหม่และหัวก้าวหน้าสมัยใหม่นั้นย้อนหลังไปตั้งแต่ที่เขาถูกเชิญให้เข้าร่วมกับกลุ่มคาร์ไลล์ กรุ๊ป (The Carlyle Group) บริษัทจัดการสินทรัพย์ทางเลือกระดับโลกที่เน้นหนักทางด้านอุตสาหกรรมทางทหาร โดยทักษิณได้รับคำเชิญให้ร่วมนั่งในบอร์ดที่ปรึกษาพร้อมกับอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ จอร์จ เอช ดับเบิลยู บุช ผู้พ่อ, อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ เจมส์ เบเกอร์ , อดีตรัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ แฟรงค์ คาร์ลูซชี, อดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษ จอห์น เมเจอร์ และอดีตประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ ฟิเดล ลามอส และคนอื่นๆซึ่งเป็นประตูเปิดกว้างสำหรับทั้งนีโอคอนและนีโอริเบอร์รัลจะเดินเข้าไป และหนึ่งในนักลงทุนหลักของกลุ่มคาร์ไลล์ กรุ๊ปในขณะนั้นคือตระกูลบินลาเดนจากซาอุดีอาระเบีย ซึ่งอาจจะช่วยอธิบายได้ว่าเหตุใดดูไบจึงอนุญาตให้ผู้นำไทยที่หลบหนีคดีสามารถใช้เป็นฐานสั่งการรัฐบาลยิ่งลักษณ์ได้

นอกจากนี้ เพิรส์ช ได้ชี้ให้เห็นถึงข้อผิดพลาดและสิ่งที่ Vtlchek เลือกที่จะไม่เปิดเผยในงานเขียนของเขา โดยชี้ให้เห็นตั้งแต่แรกว่า Vtlchek ได้อธิบายประเทศไทยเป็น “สังคมศักดินาอย่างถึงราก” โดยการอ้างว่าไทยคอยรับใช้ใครก็ตามที่เข้ามา ไม่ว่าจะเป็นญี่ปุ่น หรือ สหรัฐฯ หรือกระทั่งชาวต่างชาติอยู่ในเมืองหลวงของประเทศด้วยหลากหลายเหตุผลด้วยกัน แต่ เพิรส์ช ได้แย้งว่าไม่ว่าไทยหรือสหรัฐฯไม่สามารถอ้างอย่างเต็มปากว่าเป็นสังคมประชาธิปไตย ในขณะนี้ไทยกำลังอยู่ในการก้าวขึ้นเป็นประเทศทุนนิยมอย่างเต็มรูปแบบ ที่มีนักทุนนิยมคอยสูบประเทศเต็มไปหมด เหมือนเช่นนกแร้งที่บินวนเหนือซากสัตว์ ซึ่งเหล่านกแร้งนั้นมีทักษิณที่ Vtlchek สนับสนุนให้การสนับสนุนรวมอยู่ในนั้นด้วย

และ Vtlchek ยังชี้ว่าสหรัฐฯ และ CIAได้เข้าครอบงำรัฐบาลทหารของไทยในสมัยสงครามเวียดนามโดยการให้ผลประโยชน์ต่างตอบแทน รวมไปถึงการผลิตและส่งออกเฮโรอีน โดยVtlchekได้ใช้ตัวอย่าง “การจัดหาหญิงบริการ” เป็นหลักฐานชี้ถึง “สังคมศักดินาในไทย” ที่ผู้หญิงต้องกลายเป็นโสเภณีและส่งเงินกลับไปจุนเจือครอบครัว โดยเฉพาะในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ ซึ่งก็เป็นความจริงที่ทั้งกองทัพสหรัฐฯและกองทัพไทยในสมัยนั้นได้ร่วมสร้างธุรกิจน้ำกามขึ้นเพื่อให้ความบันเทิงกับทหาร GI ที่รบอยู่ในเวียดนาม นอกจากนี้ธุรกิจการจัดหาหญิงบริการยังมีเชื่อมส่วนโยงไปถึงนักการเมืองของไทยระดับบน ตำรวจ และทหารที่ได้ผลประโยชน์ ซึ่งมันก็เหมือนกับที่เกิดขึ้นในสหรัฐฯ และจะถือว่าสหรัฐฯเป็นสังคมศักดินาอย่างนั้นหรือ ซึ่งเพิรส์ช กล่าวว่า บางทีทั้งเขาและ Vtlchekอาจจะเห็นตรงกันว่า สหรัฐฯในขณะนี้นั้นเป็นศักดินามากกว่าประชาธิปไตยเสียอีก

และที่สำคัญ Vtlchekยังให้ข้อสนับสนุนความคิดของเขาว่า “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั้นเป็นหุ่นเชิดให้กับสหรัฐฯ เพราะทรงเสด็จราชสมภพในสหรัฐฯ และพระองค์ทรงถูกนำกลับเข้าประเทศเพื่อขึ้นครองราชสมบัติ เหตุเพราะชาติตะวันตกต้องการพระองค์” ซึ่งจินตนาการของ Vtlchek นั้นถือเป็นการจุดไฟความโกรธให้กับประชาชนชาวไทย และสิ่งที่อ้างขึ้นล้วนไม่เป็นความจริงทั้งสิ้นทั้งในแง่ประวัติศาสตร์หรือข้อเท็จจริง และแนวความคิดนี้เหมือนกับที่ออกมาจากอดีตนักข่าวรอยเตอร์ แอนดรูว์ แม็คเกรเกอร์ มาร์แชล คนทำงานให้ทักษิณสังกัดโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม

นอกจากนี้ Vtlchek ยังได้ประนามการร่วมมือระหว่างกองทัพสหรัฐฯ CIAและรัฐบาลทหารของไทยในสมัย 14 ตุลา ฯ และ 6 ตุลาฯ ที่มีการฆ่าหมู่นักศึกษาในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่มีนักศึกษาบางคนถูกย่างสด และทางรอดที่นักศึกษาเหล่านั้นจะทำได้คือการเข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยในสมัยนั้น ซึ่งกองทัพปลดแอกคอมมิวนิสต์ได้สู้รบกับกองทัพไทยเรื่อยมาจนกระทั่งในต้นยุค 80ที่มีกฎหมายนิรโทษกรรมให้กลับเข้ามาเพื่อร่วมพัฒนาชาติไทย และในปัจจุบันนี้ จะเห็นได้ว่าในทั้งฝ่ายสนับสนุนและฝ่ายต่อต้านมีทั้งนักศึกษาและอดีตคอมมิวนิสต์เข้าร่วมทั้งสองฝ่าย แต่กระนั้นอดีตนักศึกษาที่เคยเข้าป่าที่ได้เข้าร่วมกับทักษิณไม่เชื่อว่าทักษิณนั้นจริงใจที่จะช่วยเหลือประชาชน เป็นผลให้บางคนยังคงอยู่กับทักษิณต่อ ในขณะที่หลายคนได้ถอนตัวออกมาเมื่อเห็นสิ่งที่ทักษิณได้ทำ และในส่วนที่เหลือไม่ได้ตาลุกวาวกับตัวเลขที่ทักษิณเสนอให้ในแต่ละเดือน และยังคงอยู่เป็นฝ่ายต่อต้านของทักษิณต่อไป

และเพิร์ส์ชยังชี้ว่า ทักษิณเป็นทั้ง “นีโอคอน” และ”นีโอลิเบอร์รัล” ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งทุกคนต่างรู้ดีว่า ทักษิณจะทำทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์ให้กับตัวเองเป็นหลัก และให้ตามคำสั่งโลกทุนนิยมตะวันตก จึงไม่น่าแปลกใจที่สหรัฐฯจะอนุญาตให้ทักษิณที่ได้หลบหนีคดีสามารเดินทางเข้าสหรัฐฯได้ 2ปีก่อนหน้านี้ ซึ่งแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลสหรัฐฯภายใต้การนำของประธานาธิบดีบารัค โอบามา ได้เหยียบจมูกกระบวนการยุติธรรมของไทย โดยเฉพาะศาลไทย และยังไม่มีหลักฐานชี้ว่าทั้ง “นีโอคอน” และ”นีโอลิเบอร์รัล” ในรัฐบาลสหรัฐฯตัดขาดจากทักษิณ

นอกจากนี้คำอ้างของ Vtlchek ที่กล่าวหาว่าสหรัฐฯอยู่เบื้องหลังการประท้วงกปปส.นั้นยังเป็นข้ออ้างที่ฟังไม่ขึ้นเมื่อดูจากเหตุการณ์ใน4ปีก่อนหน้านี้ ในขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ยังคงเป็นพรรครัฐบาล รัฐบาลสหรัฐฯในสมัยโอบามาได้ร้องขอให้สนามบินอู่ตะเภาเป็นฐานของกองทัพสหรัฐฯ ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญใน “ยุทธการปักหมุดเอเชีย” ที่สหรัฐฯต้องการปิดล้อมจีน แต่ทว่ารัฐบาลประชาธิปัตย์กลับลังเลที่จะตอบสนอง และแผนนี้ก็ล่มไปจนกระทั่งทักษิณได้อำนาจกลับคืนผ่านน้องสาวคนเล็ก ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯบารัค โอบามาได้เดินทางมาเยือนไทยอย่างเป็นทางการเมื่อไม่นานมานี้ และแผนการขอใช้สนมบินอู่ตะเภาก็เริ่มต้นปรึกษาหารืออีกครั้ง ที่สหรัฐฯต้องการสัญญาณบวกว่าไทยพร้อมสนับสนุน และร่วมการตกลงทางการค้า Trans Pacific Partnership หรือ TPP ทันที่ที่รัฐบาลไทยร่วมลงนาม ซึ่งทักษิณได้ส่งสัญญาณสนับสนุน TPPจากการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 190 เพื่อมุ่งกระชับอำนาจฝ่ายบริหาร-ชนชั้นนำ กำจัดพื้นที่ประชาชน

และสุดท้ายข้ออ้างที่น่าตลกอย่างร้ายกาจของVtlchekต่อการประท้วงของกลุ่มกปปสคือ การประท้วงครั้งนี้กำลังทำสงครามกับวัฒนธรรม ซึ่งเขาอ้างว่าศูนย์กลางศิลปะและวัฒนธรรมแห่งชาติของประเทศต้องถูกปิดตัวลงไป โดยไม่เป็นที่ต้องสงสัยว่าวัฒนธรรมกำลังตกอยู่ในอันตราย และอ้างว่าในขณะที่กลุ่มเสื้อแดงที่สนับสนุนทักษิณที่ได้เข้ายึดพื้นที่บริเวณราชประสงค์ ตลอดจนรวมไปถึงหน้าหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร ในปี 2010 หอศิลป์กรุงเทพฯ เปิดทำการตลอดในเวลานั้น แต่ความจริงแล้ว กลุ่มเสื้อแดงได้ปักหลักอยู่ห่างจากสถานที่แห่งนี้ไปมากกว่า 100 ม. และเวทีใหญ่ของพวกเขาตั้งห่างไปไกลอย่างน้อย 1กิโลเมตร ดังนั้นคำกล่าวอ้างจึงผิดจากความเป็นจริง
กำลังโหลดความคิดเห็น